Light Yagami - Death Note

บันทึกลึกลับ!!.....ตอน : 10 อันดับของเหตุการณ์ลี้ลับแปลกประหลาดที่ยังไม่สามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์? ตอนที่ 1

บนโลกใบนี้ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่ยังท้าทายวิทยาการปัจจุบัน
บางเรื่องมีการค้นคว้าจนหาที่มาที่ไปและคำอธิบายจนได้บทสรุป...

แต่มันจะตรงกับความจริงหรือไม่นั้น เราก็ยังไม่มสามารถบอกได้ทั้งหมดใช่ไหมล่ะ?

และยังมีอีกหลากหลายเรื่องราวที่ยังคงเป็นปริศนา...
แม้จะมีผู้คนที่ใฝ่รู้ และ พยายามหาคำตอบจากเรื่องราวเหล่านั้น
แต่มันก็ยังคลุมเครือ จนกระทั่งไม่มีคำตอบที่อธิบายได้ถึงเหตุและผลที่เป็นความจริง...

เราลองมาเรียนรู้เรื่องราวเหล่านั้นพร้อมๆกันดีไหมครับ....

วันนี้ผมจะยกมาให้ท่านลองศึกษาทั้งหมด 10 เรื่องราวด้วยกัน

เอาล่ะ ถ้าพร้อมแล้ว ก็ไปกันได้เลย...

ดูคลิปแบบย่อๆได้ที่นี่เลยจ้ะ...



มาเริ่มต้นกันในอันดับที่ 10....



อันดับที่ 10 Ice Woman

มนุษย์น้ำแข็งแห่งมินิสโซต้า



ในปี 1981 เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นครั้งหนึ่งในชีวิตของเด็กสาววัย 19 ปีที่ชื่อ Jean Hilliard ยังคงสร้างความตกตะลึงไปทั่วทั้งวงการแพทย์และวิทยาศาสตร์สมัยใหม่....

เธออาศัยอยู่ในเมือง Lengby รัฐ Minnesota ... เหตุการณ์อันสุดแสนจะแปลกประหลาดและสุดมหัศจรรย์นี้เกิดขึ้นในคืนวันที่อากาศหนาวเหน็บคืนหนึ่ง ซึ่งคืนนั้นอากาศได้ลดลง -25 องศา เธอประสบอุบัติเหตุรถยนต์ลื่นถไหลไปบนพื้นถนนที่เป็นน้ำแข็ง จากนั้นเธอจึงพยายามที่จะออกไปหาคนช่วย...



แต่เธอไปไม่ถึงไหนเพราะอากาศที่หนาวเหน็บทำให้เธอต้องติดอยู่ท่ามกลางหิมะจนกระทั่งเธอสลบไป


เมื่อเพื่อนบ้านใกล้เคียงได้ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ก็มาพบกับเธอในสภาพอันน่ากลัว...



เมื่อเธอถูกน้ำแข็งเกาะคลุมไปทั้งร่าง และร่างกายแข็งทื่อเหมือนปลาที่ถูกแช่แข็งในตู้เย็น แขนขาของเธอเหยียดตรงไม่สามารถขยับได้ ใบหน้าเธอแสดงถึงความเจ็บปวดและขาวซีดไปทั้งร่าง!!



พวกเขาจึงรีบแจ้งเจ้าหน้าที่มารับตัวเธอไปยังโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน  แพทย์คิดว่าเธอน่าจะไม่มีทางรอด เพราะน้ำแข็งได้เข้าไปในทุกส่วนของร่างกายแม้กระทั่งเซลล์ ซึ่งน้ำแข็งจะเข้าไปทำลายเซลล์ทั้งหมด รวมทั้งในสมองของเธอด้วย และถึงแม้เธอจะรอดชีวิตเธอก็จะไม่สมประกอบเพราะสมองได้ถูกทำลาย แขนขาก็อาจจะต้องตัดทิ้งเพราะมันน่าจะถูกน้ำแข็งเข้าไปทำลายส่วนของของเหลวภายในจนหมดสิ้น...





ไม่น่าเชื่อ หลังจากที่ทีมแพทย์ได้พยายามช่วยเธอ ผ่านไปประมาณ 2 ชั่วโมงเธอก็กลับตื่นขึ้นมาและชักอย่างรุนแรง...และหลังจากนั้นเธอก็กลับเข้ามามีสติอย่างสมบูรณ์แบบเหมือนเดิม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอเดินได้อย่างคนปรกติทั่วไป....




รูปของ Jean Hilliard ในวัยปัจจุบัน


49 วันต่อมาทางโรงพยาบาลก็ปล่อยให้เธอกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย ปัจจุบันนี้เธอก็ยังใช้ชีวิตอยู่อย่างปรกติสุข โดยไม่มีผลกระทบใดๆจากเหตุการณ์ครั้งนั้น... ทำให้วงการแพทย์และวิทยาศาสตร์ต่างตะลึงงึงงันไปเลยทีเดียว....

ผู้เชียวชาญคาดว่า เหตุการณ์นี้อาจจะเกิดขึ้นได้น้อยมากในคนทั่วไป พวกเขาคิดว่า เซลล์ในร่างกายของเธออาจจะมีความผิดปรกติหรือเกิดการกลายพันธุ์ไป จึงทำให้เธอสามารถรอดชีวิตมาจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นได้...

แต่กระนั้นก็ยังไม่สามารถหาคำอธิบายได้ดีที่สุด และมันก็ยังเป็นสิ่งที่ต้องค้นหาคำตอบกันต่อไป.... 



อั้ยยะ! แค่อันดับแรกก็เริ่มสนุกแล้ว... มา ... เราไปติดตามกันที่อันดับต่อไป



อันดับที่ 9 Iron Pillar of Delhi

แท่งเสาเหล็กอมตะอายุกว่า 1,700 ปีที่อินเดีย



เสานี้ตั้งอยู่ที่ กุตับมีนาร์ (กุตับ-ชื่อของกษัตริย์ กุตับอุดดินไอบัก มีนาร์-หอสูง) หรือเดิมชื่อ ปฤถวีสตัมภ์ (ปฤถวี-ชื่อของกษัตริย์ฮินดู สตัมภ์-เสา) เป็นหอสูงที่น่าจะถือเป็นเครื่องหมายของกรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย...
 


เดิมพระเจ้าปฤถวีราช กษัตริย์ฮินดูทรงสร้างหอไว้สูงเพียง 95 ฟุต เพื่อให้ลูกสาวขึ้นไปดูแม่น้ำยมุนาอันศักดิ์สิทธิ์ในขณะสวดมนต์ ต่อมากษัตริย์กุตับอุดดินไอบัก ( Qutub ud-din Aibak) ซึ่งเป็นกษัตริย์มุสลิม ได้ปรับปรุงในปี พ.ศ. 1743 จากนั้นกษัตริย์องค์อื่นในราชวงศ์เดียวกันได้สร้างต่ออีกสองครั้ง ในปี พ.ศ. 1753 และ พ.ศ. 1779
 


กษัตริย์ฟิโรซ ชาห์ แห่งราชวงศ์ตุกลัขได้เสริมต่อจนเป็นรูปอย่างที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งนับเป็นศิลปกรรมแบบมุสลิมผสมฮินดูที่หาดูได้ยากความสูงของหอนี้รวมทั้งหมด 238 ฟุต แบ่งออกเป็น 5 ชั้น ภายในโปร่ง มีบันไดขึ้นไป 379 ขั้น...



มีระเบียบบังคับว่าห้ามขึ้นไปคนเดียว เพราะมีคนขึ้นไปกระโดดฆ่าตัวตายบ่อยๆ จึงยอมให้คนอย่างน้อย 2 คนขึ้นไปได้ แต่ปัจจุบันห้ามขึ้น ในบริเวณกุตับมีนาร์ มีถาวรวัตถุเป็นศิลปะฮินดูเดิม แล้วมุสลิมมาสร้างเสริมเติมแต่งให้


ซึ่งปัจจุบันสิ่งที่น่าสนใจและมีผู้นิยมมาเยี่ยมชมในสถานที่แห่งนี้ คือ เสาเหล็ก ที่ทำด้วยเหล็กอย่างดีไม่เป็นสนิม เข้าใจว่าสร้างขึ้นใน พ.ศ.800 หลังสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช 





ที่เสามีคำจารึกเป็นภาษาสันสกฤต เป็นคำบูชาถวายพระวิษณุ การฝังเสาทำได้แน่นหนามาก  เล่ากันว่ากษัตริย์มุสลิมพยายามเอาปืนใหญ่ยิงใกล้ๆ ยังไม่โค่นไม่ร้าว รอยเสาที่ถูกปืนใหญ่ ยังปรากฏอยู่จนทุกวันนี้ ความสูงของเสานี้ 32 ฟุต 8 นิ้ว (7 เมตร) เส้นผ่าศูนย์กลาง 16 นิ้ว 




เป็นที่เชื่อกันว่า ถ้าใครเอาหลังพิงเสานี้ แล้วเอาแขนโอบทางเบื้องหลัง จนมือจับกันได้ ถือว่าเป็นคนซื่อสัตย์หรือมีบุญวาสนา หรือหากทำดังนั้นแล้วตั้งจิตอธิษฐาน ความปรารถนาใดๆ ที่ขอจะสัมฤทธิ์ผล


สิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจที่วิทยาศาสตร์ปัจจุบันยังหาคำตอบไม่ได้คือ ทำไมมันถึงไม่เป็นสนิม และอดทนต่อการผุกร่อนมานานกว่า 1,700 ปีได้... 


เสาได้ดึงดูดความสนใจของนักโบราณคดีและนักวิทยาศาสตร์ เพราะมันมีความต้านทานสูงต่อการกัดกร่อน และที่น่าสนใจคือช่างเหล็กในสมัยโบราณใช้ส่วนผสมอะไรมาทำ ถึงทำให้มันแข็งแกร่งได้เพียงนี้ และถึงแม้วิยาการในสมัยปัจจุบันจะก้าวหน้าไปขนาดไหนก็ตาม ก็ยังหาคำตอบเกี่ยวกับเหล็กนี้ไม่ได้ แถมยังทำเลียนแบบไม่ได้เสียด้วย!!

  

อันดับที่ 8 Carroll A. Deering

การหายสาบสูญของผู้คนบนเรือคาร์รอลล์ เอ. เดียริ่งอย่างลึกลับ


เหตุการณ์แปลกประหลาดครั้งประวัติศาสตร์ครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 31 มกราคม 1921 เมื่อเรือกู้ภัยได้ค้นพบเรือขนสินค้าลำหนึ่งได้จอดนิ่งสนิทอยู่ที่บริเวณแหลมแห่งหนึ่งใกล้ๆกับชายฝั่งของ North Carolina และเมื่อพวกเขาไปถึงก็ต้องตกตะลึง เมื่อสำรวจบนเรือไม่พบสิ่งมีชีวิตใดๆหลงเหลืออยู่เลย ทั้งๆที่อุปกรณ์ต่างๆยังอยู่ครบ แม้กระทั่งโต้ะอาหารและในโรงครัวยังมีการจัดการเตรียมอาหารเพื่อรับประทานกัน แต่ทว่าทำไมอยู่ๆ ทุกคนกลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย!!


เรือนี้เป็นเรือใบสำหรับบรรทุกสินค้าซึ่งมีลักษณะ 5 เสา ชื่อข้างๆเรือเขียนไว้ว่า Carroll A. Deering (คาร์รอลล์ เอ. เดียริ่ง) ความยาว 255 ฟุต กว้าง 45 ฟุต สูง 26 ฟุต ต่อขึ้นในปี 1919 โดยบริษัท G.G.Deering ซึ่งเป็นบริษัทชำนาญการต่อเรือที่เก่าแก่ที่สุดของอเมริกาในสมัยนั้น มันถูกตั้งชื่อตามชื่อลูกชายเจ้าของบริษัท

 

William Merritt ซึ่งเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนบริษัทได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่กัปตันเรือ ขนถ่ายสินค้าถ่านหินจาก Boston ไปส่งยัง Buenos Aires ประเทศอาร์เจนตินาและ Rio de Janeiro ประเทศบราซิล กัปตันวิลเลี่ยมแต่งตั้ง S.E. Merritt ซึ่งเป็นลูกชายเป็นต้นหน และจ้างชาวเดนมาร์กอีก 9 คนมาเป็นลูกเรือ

 

เรือออกเดินทางจากต้นทางในวันที่ 19 สิงหาคม 1920 แต่หลังจากออกเดินทางได้เพียงไม่นาน กัปตันก็เกิดอาการป่วยอย่างกะทันหัน จึงแวะเทียบท่าที่เมืองเล็กๆรัฐ Delaware ในวันที่ 22 สิงหาคม เพื่อส่งตัวกัปตันไปรักษาตัว






เขาป่วยหนักเกินกว่าจะทำหน้าที่กัปตันได้ เขาจึงถูกส่งตัวไปรักษาโดยมีลูกชายคอยติดตามดูแล บริษัทจึงรีบส่ง Willis Wormell เข้ามาทำหน้าที่กัปตันคนใหม่ และว่าจ้าง Charles McLellan มาทำหน้าที่ต้นหนแทน....




กัปตัน Willis Wormell


ต่อมาวันที่ 8 กันยายน เรือได้เดินทางมาถึงปลายทางที่เมือง Rio de Janeiro หลังจากนำสินค้าลง ลูกเรือได้รับอนุญาตให้พักผ่อนตามอัธยาศัย กัปตันเรือได้พบกับกัป Goodwin เพื่อนเก่าของเขาเอง และในขณะนั้นเองที่เขาได้ปรับทุกข์ให้เพื่อนเก่าฟังว่า ต้นหนของเขาทำหน้าที่ไม่ได้เรื่องและมักสร้างปัญหาให้ แต่โชคยังดีที่ช่างเครื่อง Herbert Bates เป็นคนมีฝีมือและไว้ใจได้...


วันที่ 2 ธันวาคม เรือออกเดินทางจากเมือง Rio de Janeiro เพื่อกลับสู่สำนักงานใหญ่เมือง Portland จนกระทั่งถึงต้นเดือนมกราคม 1921 กัปตันเรือได้สั่งให้แวะซื้อหาเสบียงบนหมู่เกาะ Barbados และเพื่อให้ลูกเรือได้มีเวลาพักผ่อน ซึ่งที่นี่เองปัญหาได้เริ่มต้นขึ้น

ต้นหนเรือดื่มสุราจนเมามาย เขานินทาหัวหน้ากับ Hugh Norton กัปตันเรือสโนว์ว่าเขาต้องคอยดูเส้นทางให้กัปตันของเขาตลอดเวลาเพราะเขาสายตาไม่ดี แต่ก็ยังชอบมาแทรกแซงหน้าที่ของเขาไม่ว่าเขาจะทำอะไรหรือสั่งให้ลูกเรือทำอะไรกัปตันก็จะเข้ามายุ่งเสมอๆเหมือนกับว่าไม่ไว้วางใจเขา....



เมื่อเริ่มเมาหนักขึ้น ต้นหนก็วางอำนาจบาทใหญ่ขู่อาฆาตมาดร้ายว่าจะจัดการกัปตันก่อนจะเดินทางถึงเมือง Norfolk เหตุการณ์เริ่มบานปลายจนตำรวจต้องเข้ามาควบคุมตัวเขาออกไปนอนสงบสติอารมณ์ในห้องขัง ทางด้านกัปตันไม่ได้ถือสาเอาความแถมยังประกันตัวออกจากคุกอีกต่างหาก... ใจดีซะ

ต่อมาในวันที่ 9 มกราคม เรือได้เดินทางออกจากหมู่เกาะ
Barbados และกำหนดเส้นทางการเดินเรือเพื่อมุ่งหน้ากลับเมือง Portland และหนนี้นั่นเองที่พวกเขาต้องเดินทางผ่านดินแดนอาถรรพณ์  “สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า” 


หลังจากนั้นในวันที่ 20 มกราคม เรือบรรทุกสินค้าของกองทัพสหรัฐ SS Hewitt นำวัตถุดิบสารเคมีที่ใช้ในการผลิตกระสุนปืน ออกเดินทางจากรัฐ Texas ไปส่งเมือง Portland ที่หมายปลายทางเดียวกันกับเรือ Carroll A. Deering

เส้นทางการเดินเรือของเรือ SS Hewitt ใกล้เคียงกันกับเส้นทางของเรือ Carroll A. Deering ในวันที่ 25 มกราคม เรือ SS Hewitt อยู่ห่างจากชายฝั่งทางตอนเหนือของรัฐ Florida ประมาณ 250 ไมล์ กัปตันเรือได้วิทยุแจ้งสถานะว่าท้องทะเลเงียบสงบ เหตุการณ์ปรกติ และนั่นเป็นการติดต่อครั้งสุดท้ายก่อนที่เรือ SS Hewitt พร้อมสินค้าเต็มลำและลูกเรือ 42 คนจะอันตรธานหายไปเฉยๆในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า!!
 


วันที่ 29 มกราคม เรือ Carroll A. Deering ก็เดินทางมาถึงบริเวณแหลม Lookout มลรัฐ North Carolina สวนทางกับเรือประภาคารที่ทำหน้าที่ตรวจตราชายฝั่งและคอยระวังไม่ให้มีเรือ แล่นเข้าไปใกล้แนวสันทรายใต้น้ำในบริเวณนั้น

Thomas Jacobson กัปตันเรือของประภาคารสังเกตเห็นว่าเส้นทางการเดินเรือ
Carroll A. Deering นั้นดูแปลกๆ เขาจึงใช้กล้องส่องทางไกลมองดู ก็พบว่าสมอเรือทั้ง 2 ข้างของเรือลำนั้นหายไป แต่เขากลับมองไม่เห็นชื่อเรือที่อยู่ระหว่างสมอเรือ....



และเมื่อมองไปยังหอบังคับการเรือ เขายิ่งรู้สึกประหลาดใจที่เห็นลูกเรือจำนวนมากมาอยู่ในหอบังคับการ ซึ่งโดยปรกติแล้วผู้ที่จะอยู่ในหอบังคับการจะมีแต่กัปตันเรือกับต้นหนเท่านั้น ลูกเรือคนอื่นจะไม่มีสิทธิ์ให้อยู่ในหอบังคับการได้ เขาพยายามมองหาผู้ที่แต่งเครื่องแบบกัปตันและต้นหน แต่ก็ไม่พบว่าใครในกลุ่มแต่งเครื่องแบบ

 


ตอนนั้นเองที่เขาเห็นชายผมแดง รูปร่างผอมสูงโย่ง ตะโกนบอกว่าพวกเขาได้สูญเสียสมอเรือระหว่างเจอพายุบริเวณแหลม Fear ขอให้เรือประภาคารช่วยส่งวิทยุไปบอกบริษัทเจ้าของเรือให้ด้วย...

 


แต่ว่าวิทยุของเรือประภาคารเสีย จึงไม่สามารถจะรับส่งวิทยุติดต่อกับใครได้ เขาจึงเป่านกหวีด ซึ่งเป็นกฎการเดินเรือที่เรือทุกลำจะต้องชะลอความเร็วให้เรือประภาคารแล่นเข้าใกล้เพื่อติดต่อสื่อสาร แต่เรือ Carroll A. Deering กลับไม่ชะลอความเร็ว ในขณะที่เรือประภาคารมีความเร็วเพียง 5 ไมล์ต่อชั่วโมง จึงไม่สามารถแล่นได้ทัน เขาจึงได้แต่ยืนมองตาปริบๆ โดยที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรือลำนั้นชื่อเรืออะไร...



ต่อมาในวันที่ 30 มกราคม Henry Johnson กัปตันเรือ SS Lek Elon รายงานว่า เขาพบเรือบรรทุกสินค้า 5 เสากระโดงแล่นตามอยู่ไกลๆเมื่อเวลา 15.30 น. และทิ้งหายลับตาไปราวเวลา 17.45 น. ขณะนั้นเรือของเขาอยู่ห่างจากแนวสันทรายใต้น้ำ Diamond ราว 25 ไมล์

แม้เขาจะมองไม่เห็นชื่อเรือ แต่จากลักษณะของมันทำให้เขาเชื่อว่าเรือลำนั้นคือ
Carroll A. Deering ซึ่งมันยังคงกางใบแล่นโดยไม่แสดงความผิดปรกติใดๆ และดูเหมือนมันกำลังมุ่งหน้าไปในเส้นทางเดียวกันกับเรือของเขา 


ต่อมาเวลา 19.00 น. เรือ SS Lek Elon มองเห็นสัญญาณไฟเตือนภัยเขตแนวสันทรายใต้น้ำ Diamond ส่องสว่างมาจากเรือประภาคาร กัปตันเรือจึงบังคับเรือให้ออกห่างจากแนวอันตรายจนกระทั่งผ่านเลยเขตนั้นไปในเวลา 20.32 น. โดยมีเรือลำอื่นอีก 2 ลำแล่นขนานอยู่ห่างๆ ซึ่งบ่งบอกว่าเรือที่ผ่านมาในบริเวณนั้นสามารถมองเห็นไฟสัญญาณเตือนภัยแนวสันทรายใต้น้ำ



แม้ว่ากลางดึกของคืนวันนั้นจะเกิดพายุฝนฟ้าคะนอง แต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยแนวชายฝั่งก็รายงานว่าไม่เห็นแสงไฟของเรือลำ อื่นๆผ่านมาในบริเวณนั้นหลังจากเรือ SS Lek Elon ผ่านไปแล้ว




จนกระทั่งเวลา 06.30 น. ในวันที่ 31 มกราคม เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยแนวชายฝั่งก็ต้องตกใจสุดขีดที่เห็นเรือบรรทุก 5 เสากระโดงเกยตื้นอยู่บนแนวสันทรายใต้น้ำ เขารีบแจ้งเหตุไปยังหน่วยเหนือเพื่อขออุปกรณ์และกำลังคนกู้ภัย ไม่นานนักหน่วยกู้ภัยจากเมืองใกล้เคียงหลายคนระดมกำลังพยายามเข้ากู้เรือ หากแต่ขณะนั้นสภาพอากาศยังไม่เอื้ออำนวย มีคลื่นลมแรง หน่วยกู้ภัยจึงไม่สามารถเข้าใกล้แนวสันทรายใต้น้ำได้




กว่าที่คลื่นลมจะสงบจนสามารถส่งหน่วยกู้ภัยเข้าไปได้ก็ล่วงเลยเข้าไปในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ สภาพลำตัวเรือยังคงอยู่ในสภาพเกือบสมบูรณ์ แต่ดาดฟ้าเรือถูกกระแสคลื่นกระแทกจนพังพินาศทำให้น้ำทะเลไหลทะลักเข้าสู่ใต้ท้องเรือจนเต็ม ไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตอยู่บนเรือเลยแม้แต่สักคน และที่สำคัญ สมุดบันทึกเอกสาร ปูมเรือ อุปกรณ์คำนวณเส้นทางและของใช้ส่วนตัวของลูกเรือหายได้ไปทั้งหมด!!



เรือกู้ชีพทั้ง 2 ลำหายไป แต่กลับพบว่า อาหารที่เตรียมไว้ยังไม่ถูกแตะต้อง บ่งบอกว่าลูกเรือได้รีบด่วนสละเรืออย่างกะทันหัน หน่วยกู้ภัยพยายามลากเรือออกจากแนวสันทรายใต้น้ำ แต่ด้วยสภาพคลื่นลมแรงประกอบกับปริมาณน้ำจำนวนมากใต้ท้องเรือทำให้เรือไม่ ยอมขยับเขยื้อน ในที่สุดวันที่ 4 มีนาคม ทีมกู้ภัยก็ยอมแพ้และจำใจระเบิดเรือทิ้งเพราะเกรงว่าหากปล่อยไว้อาจเป็นอันตรายกับเรือลำอื่นๆ
 




จนกระทั่งปัจจุบันก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรือ Carroll A. Deering และลูกเรือทั้ง 11 คน มันเป็นไปไม่ได้ที่ต้นหนเพียงคนเดียวจะก่อกบฏยึดเรือตามที่เคยขู่เอาไว้ด้วยฤทธิ์สุรา ถึงแม้เขาจะทำได้มันก็ไม่มีเหตุผลที่จะทิ้งเรือไป การเผชิญกับพายุกลางทะเลก็ไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะเรือที่ยังอยู่ในสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ อีกทั้งการหนีลงเรือเล็กท่ามกลางพายุนั้นเป็นเรื่องไม่ฉลาดเท่าไรนัก


ภายหลังปรากฏว่ามีเรือลำอื่นอีกอย่างน้อย 9 ลำสูญหายไปอย่างไร้ร่องรอยในช่วงเวลาเดียวกันที่บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า จึงทำให้เหตุการณ์นี้กลายเป็นหนึ่งในเรื่องลี้ลับที่สุดที่ยังไม่มีใคร สามารถให้คำตอบได้จนถึงปัจจุบัน!!

โอโห...ยิ่งกว่านวนิยายสยองขวัญซะอีกนะเนี่ย น่าติดตามมากๆ...


 ไปกันที่อันดับต่อไป....


อันดับที่ 7 The Hutchison Effect

ฮัทชิสันเอ็ฟเฟ็ก....พลังงานลึกลับแห่งจักรวาล






ในปี 1970 หลังจากที่นักฟิสิกส์วิศวะไฟฟ้าเครื่องกลนาม Nikola Tesla ได้เป็นผู้ค้นพบไฟฟ้ากระแสสลับ...



ก็มีนักคิดค้นนามว่า John Hutchison ซึ่งเขาอ้างว่าได้ค้นพบปรากฏการณ์ใหม่ที่ไม่เคยมีใครค้นพบมาก่อนในโลก โดยเขาพบว่าในโลหะ หรือสิ่งของต่างๆ มีพลังงานพิเศษแฝงเร้น  





บิดาแห่งพลังงานไฟฟ้า Nikola Tesla


 John Hutchison "The Hutchison Effect"

ผลของการทดลองของเขาพบว่า เขาสามารถทำให้วัตถุต่างๆโดยเฉพาะพวกของแข็งลอยขึ้นไปบนอากาศในลักษณะต้านแรงโน้มถ่วง แถมยังทำให้มันแยกชิ้นส่วนออกมาเองได้อีกต่างหาก...เขาเรียกมันว่า "The Hutchison Effect"





John Hutchison เป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญของ Nikola Tesla ที่ยังมีชีวิตอยู่ในวันนี้ เขาได้มีการทดลองซ้ำงานของ Nikola Tesla ในหลายๆผลงานที่ผ่านมา ครั้งหนึ่งเขาได้ประดิษฐ์เครื่องกำเนิดไฟฟ้าและอุปกรณ์อื่นๆ ที่สร้างสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่ซับซ้อน จนสามารถทำให้โลหะหนักลอยไปมาได้และพุ่งไปที่เพดานอย่างรวดเร็ว และบางชิ้นมันกลับแตกแยกตัวเองออกมา








 
นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ไม่สามารถหาเหตุผลมาอธิบายถึงปรากฏการณ์ครั้งนี้ได้ นักทฤษฎีบางคนคิดว่าผลที่ออกมาน่าจะเป็นผลมาจากพลังงานตรงข้ามสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่มันถูกยกเลิกอย่างกระทันหัน เนื่องจากการสร้างการไหลเวียนของพลังงานที่มีประสิทธิภาพของพื้นที่ แต่พวกเขาก็ยังไม่การันตีว่ามันสามารถนำมาใช้ให้เป็นพลังงานที่ถูกต้องได้จริงๆบนโลก





ต่อมานักธุรกิจนาม George Hathaway ได้ยินเกี่ยวกับพลังงานลึกลับนี้ในปี 1980 เขาจึงติดต่อเขาเพื่อที่จะนำพลังงานนี้มาประยุกต์ใช้ในวิศวะกรรมการบินของแคนาดา หากแต่ว่าจากหลายปัจจัย ทั้งทางการเมืองที่แตกต่างกันทำให้เขาไม่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการต่อไป





เพราะนอกเหนือจากรัฐบาลแคนาดา ยังมีกองทัพสหรัฐที่ติดต่อมาเพื่อขอให้เขานำการทดลองไปใช้ในด้านกองทัพ เสียแต่ว่าหลังจากที่เขาเดินทางไปยังกองทัพสหรัฐ เมื่อกลับออกมาเขากลับปฐิเสธข้อเสนอมูลค่ากว่า 70 ล้านเหรียญไปเสียงั้น... จากนั้นเขาก็เดินทางไปยังเยอรมนีเพื่อความปลอดภัยบางอย่าง... และเขาก็ถูกใส่ร้ายจากการสร้างข่าวเท็จของกองทัพสหรัฐเพื่อดิสเครดิตอะไรบางอย่าง...


หลังจากใช้เวลานานหลายปี ของการทดลองการสาธิตและการบรรยายในประเทศอื่น ๆ เช่นสหรัฐอเมริกาเยอรมนีและญี่ปุ่นเขากลับไปยัง Vancouver ในปี 1991 และได้สร้างห้องทดลองของเขาในอพาร์ทเมนต์... 


ห้องทดลองในอพาร์ทเม้นท์ของ John Hutchison

 
ต่อมานายกเทศมนตรี คนใหม่ได้เข้ามาบังคับให้เขาหยุดการทดลองในปี 2006 จากนั้นในปี 2010 เขาก็ถูกกดดันให้ทำลายห้องทดลองโดยอ้างถึงกฏหมายต่างๆมากมาย ทั้งเพื่อนบ้านที่ตกใจกลัวจากการทดลอง รวมทั้งกฏหมายความรั่วไหลทางด้านข้อมูลวิทยาศาสตร์ และไม่นานเขาก็ถูกจับกุมตัวและผลงานการทดลองต่างๆก็ถูกยึด...


เขาได้รับการปล่อยตัวและรัฐบาลก็ปฐิเสธถึงผลงานการทดลองของเขาทั้งหมด แต่เขาก็ไม่สนใจ ยังคงยืนกรานในผลงานการทดลองที่จะทำต่อไปเพื่อมวลมนุษยชาติ....


หนึ่งในผลงานการคิดค้นของ John


ต่อมาองค์การ NASA ก็เป็นหนึ่งในหน่วยงานที่เขาได้หันไปพึ่งพา เช่นเดียวกับที่ทั้งอเมริกาเหนือที่เสนอจะแปรรูปสิ่งประดิษฐ์ที่เขาทำขึ้นมา เขาเชื่อว่าในโลกของพลังงานและความมหัศจรรย์ของการต่อต้านแรงโน้มถ่วงน่าจะมีความจำเป็นต่อประชาชนทั่วไป มากกว่าจะยกให้กับพวกมหาอำนาจนำไปใช้งาน....


จากนั้นไม่นานรัฐบาลก็ได้ทำลายห้องปฏิบัติการแห่งที่สามของเขาอีกครั้ง มารอบนี้เขาถังแตก และไม่สามารถสืบสานการทดลองต่อไปได้... 




แต่ทว่าต่อมาทีมนักวิจัยเยอรมันได้ทำซื้อห้องปฏิบัติการที่อยู่ในอพาร์ทเมนท์ของเขาทั้งหมดหลังจากที่ได้เห็นการสาธิตของเขา ทำให้เขามีเม็ดเงินพอที่จะใช้การแสดงของเขาบนถนนกับภรรยาใหม่ของเขา Nancy





เขาเดินทางไปสหรัฐอเมริกาในรถบัสที่ถูกแปลงโฉมใหม่ให้กลายเป็นห้องปฎิบัติการ เขายังคงมีความหวังในสิ่งประดิษฐ์ของเขาว่า สักวันหนึ่งเขาจะสามารถลดภาระและความทุกข์ทรมานและเสริมสร้างชีวิตให้กับมวลมนุษยชาติทั่วโลก และลดทอนชนชั้นระหว่างคนรวย กับ คนจนลงมาให้ได้.... 


ในท้ายที่สุดรัฐบาลไม่สนใจจิตวิญญาณของเขาและทำลายความฝันของเขา แต่นั้นก็ทำให้เขากลายเป็นอิสระ และสามารถท่องเที่ยวไปทั่วโลก เพื่อแสดงให้เห็นถึงพลังงานใหม่ที่เขาค้นพบ และหวังว่าสักวัน มันจะช่วยเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ได้... "The Hutchison Effect"


อั้ยยะ!! หรือนี่จะเป็นพลังงานที่กลุ่มมหาอำนาจพยายามแย่งชิงไปใช้เอง มันอาจจะเป็นพลังงานที่ต่างดาวใช้อยู่ก็เป็นได้.... สู้ต่อไปนะ John เราจะเอาใจช่วย!!!





อันดับที่ 6 Faces Of Belmez

ใบหน้าสยองของมนุษย์ผุดบนฝาพนังบ้านได้เอง ที่ประเทศสเปน



เหตุการณ์ลึกลับแปลกประหลาดอันโด่งดังนี้เกิดขึ้นเมื่อ María Gómez Cámara อ้างว่าเธอได้พบกับหน้ามนุษย์โผล่ออกมาจากฝาผนังบ้านอย่างประหลาดในห้องครัวของเธอ สามีและลูกของเธอจึงพยายามทำลายใบหน้านั้นด้วยขวานมาเลาะออกและนำปูนมาโปกทับเข้าไปใหม่ แต่ปรากฏว่าไม่นานใบหน้าใหม่ก็เกิดขึ้นอีก 

 

โดยส่วนใหญ่มันมักจะปรากฏบนพนังคอนกรีตของบ้านเธออย่างต่อเนื่องและบางครั้งมันก็อันตธานหายไปซะอย่างนั้น...
 



ใบหน้าเหล่านี้จะปรากฏตัวเป็นระยะไม่สม่ำเสมอ หน้าแต่ละหน้าจะไม่เหมือนกัน จะมีรูปร่างแตกต่างกันออกไปอย่างชัดเจน มีทั้งชายและหญิง และการแสดงออกทางสีหน้าแตกต่างกันออกไปอีกด้วยนะ...




Bélmez de la Moraleda ผู้พบกับใบหน้าลึกลับ



ปรากฏการณ์ประหลาดนี้เกิดขึ้นในบ้านของ Bélmez de la Moraleda ที่ตั้งอยู่ในถนนหมายเลข 5 เมือง Jayan ประเทศสเปน โดยมันเริ่มต้นในวันที่ 23 สิงหาคม ปี 1971 เมื่อ María Gómez Cámara อ้างว่ามีการพบหน้ามนุษย์ประหลาดเกิดขึ้นโดยธรรมชาติในห้องครัวของเธอที่ผนังซีเมนต์ และถึงแม้พวกเธอจะพยายามทำลายมันยังไง ไม่นานมันก็จะปรากฏขึ้นมาใหม่อีกหลายหน้า แลดูสยดสยอง เพราะใบหน้ามีทั้งชายหญิงและแสดงสีหน้าท่าทางต่างกันออกไป....






ปัจจุบันบ้านหลังนี้กลับกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ยอดนิยมในการถ่ายรูปและหลายสื่อไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น เหล่านักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบเรื่องแปลกประหลาด ต่างก็เข้ามาแวะเวียนกันเพื่อดูปรากฏการณ์ที่ว่านี้....








 



หลายคนเชื่อว่าใบหน้าเหล่านี้ไม่ใช่ฝีมือของมนุษย์ และเชื่อว่าเป็นปรากฏการณ์ Thoughtographic (ความสามารถในการใช้พลังจิตฉายภาพลงบนกระดาษหรือรูปถ่าย) ที่เกิดจากพลังจิตของเจ้าของบ้านโดยไม่รู้ตัว....
 











นักวิทยาศาสตร์ยังคงกังขาปรากฏการณ์นี้ ซึ่งพวกเขากล่าวว่ามันอาจจะเป็นการปรากฏการณ์ลึกลับที่แกล้งทำกันขึ้นมาเอง และพวกเขายังสันนิษฐานว่า มันอาจจะเกิดจากการล้างปูนซีเมนต์จนทำให้มีรูปร่างปรากฏออกมา ทั้งนี้ยังมีการมีวิเคราะห์มวล โมเลกุล ตัวอย่างซีเมนต์ในบ้านหลังนั้นและ สุดท้ายพวกนักวิจัยก็อ้างว่ามันเป็นเรื่องหลอกลวง 



แต่กระนั้นในเวลาต่อมาหลายคนไม่เชื่อ และนักวิทยาศาสตร์บางคนโดนฟ้องอีกต่างหาก ทำให้การไขปริศนาปรากฏการณ์นี้กลายเป็นเรื่องต้องห้าม เนื่องจากมันได้สร้างรายได้และกำไรเป็นกอบเป็นกำในเมืองแห่งนี้....เอ่อ ซะงั้น


บางสิ่งก็อาจจะใช้วิทยาศาสตร์กล่าวอ้างได้ แต่กับบางสิ่งมันกลับไม่สามารถอธิบายได้ด้วยวิชาการใดๆ...โดยเฉพาะเรื่องความเชื่อ และยิ่งความเชื่อนั่นได้รับพลังจากกลุ่มคน จนมากขึ้นไปเรื่อยๆ แม้จะมีการแก้ปัญหาจนกระทั่งค้นพบกับความจริง มันก็ไม่สามารถทำลายความเชื่อเหล่านั้นลงไปได้....

ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของท่านๆละกันเน้าะ ส่วนผม...เชื่อนะ ว่าสิ่งลึกลับบนโลกใบนี้มันมีอยู่จริง...

ขนาด ไก่ กับ ไข่ อะไรเกิดก่อน เรายังไม่รู้เลย ฮ่าๆๆๆ....

โปรดติดตามกันต่อไปใน ตอนที่ 2 ด้วยนะจ้ะ....

2 ความคิดเห็น: