Light Yagami - Death Note

เรื่องเล่าเขย่าขวัญ....ตอน : ตำนานบทใหม่กับ 10 อันดับฆาตรกรต่อเนื่องที่ยังคงเป็นปริศนาคงไว้ซึ่งความลึกลับดำมืด!! ตอนที่ 2 ตอนจบ


มาต่อเนื่องกันกับ โลกของฆาตกรต่อเนื่องที่ยังคงเป็นปริศนาคงไว้ซึ่งความลึกลับดำมืดในตอนจบ!!

มาถึงอันดับต่อไปในอันดับที่ 5

อันดับที่ 5  The I-70 Killer

ไอ้เหี้ยมปืนโหดแห่ง I-70!!

ในระยะทาง 2,100 ไมล์ ของ I-70 จาก Baltimore รัฐ Maryland ไปยังอ่าว Cove Fort รัฐ Utah ได้กลายเป็นที่เลื่องชื่อของตำนานฆาตกรต่อเนื่องที่ไม่ปรากฏชื่อในปี 1992 โดยที่มันจะไปหาเหยื่อแบบสุ่มซึ่งอยู่ใกล้กับ I-70....


 เหยื่อรายแรกของมัน คือ Robin Fuldauer อายุ 26 ปี ถูกฆ่าตายในวันที่ 8 เมษายน 1992 ที่ร้านขายรองเท้า Payless ShoeSource ใน Indianapolis รัฐ Indiana ในสภาพศพถูกยิงด้วยอาวุธปืน และในอีก 3 วันต่อมา Patricia Magers อายุ 32 ปี และ Patricia Smith อายุ 23 ปี ก็ถูกฆ่าตายในร้านชุดเจ้าสาว Wichita, Kansas bridal shop เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 1992 โดยในครั้งนี้มีพยานรู้เห็นเป็นผู้ชายที่กำลังเดินเข้าไปในร้าน เขาบอกว่าเขาได้เห็นผู้ชายแปลกหน้าคนหนึ่งเดินออกมาจากประตูหลังร้าน ก่อนที่เขาจะพบศพของเหยื่อทั้งสองคนด้านหลังร้าน เชื่อได้ว่า ฆาตกรอาจจะข่มขู่ให้ทั้งคู่เดินเข้าไปในหลังร้านก่อนที่จะตัดสินใจใช้อาวุธปืนยิงทั้งคู่จนถึงแก่ความตาย....


 เหยื่อรายต่อมา Nancy Kitzmiller อายุ 24 ปี เธอกำลังจะเริ่มต้นงานในหน่วยงานของรัฐในไม่กี่วัน เธอก็ถูกฆ่าตายที่ร้าน Western boot shop ในเมือง St. Charles ชานเมือง St. Louis รัฐ Missouri ในสภาพถูกยิงด้วยอาวุธปืน  ต่อมา Sarah Blessing อายุ 37 ปีก็ถูกฆ่าตายกลางวันแสกๆ ในร้านขายของกระจุกกระจิกที่ห้างสรรพสินค้าท้องถิ่นในเมือง Kansas City  

จากนั้นอีก 4 วันต่อมาก็มีพยานมาให้การว่า ในวันที่ 7 พฤษภาคมเวลาประมาณ 15:30 เจ้าหน้าที่ที่ร้านเห็นชายคนหนึ่งท่าทางลึกลับเดินเข้าออกจากร้านของเขาอย่างมีพิรุธ นาทีต่อมา Tim Hickman ซึ่งเป็นเจ้าของร้านวิดีโอที่ติดกับร้านที่เกิดเหตุเห็นชายคนหนึ่งเดินผ่านร้านของเขาและเดินเข้าไปในร้านขายของกระจุกกระจิก จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น เสมียนร้านขายของชำกำลังเก็บตะกร้าสินค้าเห็นชายคนหนึ่งรีบวิ่งออกไปและปีนขึ้นไปบนเนินเขาที่ I-70 และหายตัวไป ขณะที่ Tim Hickman เดินเข้าไปในร้านขายของกระจุกกระจิกและพบร่างของ Sarah Blessing นอนจมกองเลือดอย่างไร้วิญญาณอยู่ที่พื้น....


จากการพิสูจณ์หลักฐานทางอาวุธปืน ยืนยันว่าผู้หญิงทุกคนถูกฆ่าโดยคนๆ เดียวกัน และปืนชนิดเดียวกัน เหยื่ออีกคนหนึ่งซึ่งเกิดขึ้น ในวันที่ 27 เมษายน 1992 เสมียนร้านขายเซรามิกชื่อ Michael 'Mick' McCown ถูกฆ่าตายใน Terre Haute รัฐ Indiana แต่เจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า อาจจะเป็นเพราะฆาตกรเข้าใจผิดว่าเป็นผู้หญิงอีกคนหนึ่ง...ซวยไปเลย 



นอกจากนี้ยังมีการเชื่อมโยงที่เป็นไปได้ถึงเหยื่อทั้ง 4 ราย โดยพยานรู้เห็นได้อธิบายลักษณะของฆาตกรว่า น่าจะเป็นคนขาว รูปร่างโปร่ง สูงประมาณ 5 '7 ฟุต ถึง 5' 9 ฟุต ผมบลอนด์ทรายสลับกับโทนสีแดงและมีเคราเล็กน้อย 



โดยพยานที่ให้การสำคัญที่สุดมาจากกรณีของ Patricia Magers และ Patricia Smith ที่ถูกฆ่าตายในร้านขายชุดเจ้าสาว โดยเขาอ้างว่า เขากำลังจะมารับชุดเจ้าบ่าวที่สั่งเอาไว้ และเขาก็ได้เห็นฆาตกรเดินออกมาจากด้านหลังร้านอย่างชัดเจน...แต่ทางเจ้าหน้าที่ก็ยังสงสัยว่า ทำไมมันถึงไม่ฆ่าพยาน ทั้งๆที่เห็นตัวมัน และพยานคนนี้ก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเรื่อยมา...


รูปบรรดาเหยื่อของเจ้าฆาตกร
 
นาย Herb Baumeister จาก Westfield รัฐ Indiana ถูกต้องสงสัยว่าน่าจะเป็นฆาตกร แต่เขากลับฆ่าตัวตายหลังจากกระดูกมนุษย์จำนวนมากถูกค้นพบในที่ดินของเขา กระดูกส่วนใหญ่เป็นเพศชาย เขาถูกกล่าวหาว่าได้ฆ่าชายรักร่วมเพศ แต่ก็ไม่สามารถเชื่อมโยงกับการฆาตกรรมผู้หญิงคนอื่นๆที่เกิดขึ้น 


รูปนาย Herb Baumeister เมื่อเทียบกับภาพสเก๊ตคนร้าย

 

อีกรายหนึ่งคือ Donald Michael Prince ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น Donald Albin Blom ถูกตัดสินลงโทษในคดีฆาตกรรมของ "Katie" Elizabeth Poirier ก็ถูกสงสัยว่าเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง I-70 แต่เขาก็ได้รับความทุกข์ทรมานจากโรคมะเร็งลำคอซึ่งขณะนี้อยู่ในช่วงขออภัยโทษ ซึ่งเขาได้ครอบครองปืนชนิดเดียวกันกับที่เคยใช้สังหารเหยื่อในคดี I-70 อยู่ด้วยนั่นเอง....


  รูปนาย Donald Albin Blom หนึ่งในผู้ต้องสงสัย



แต่แม้ว่าทางเจ้าหน้าที่จะคาดว่าคนเหล่านี้เป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ทำการอุกอาจเหล่านั้น แต่ก็ยังเชื่อไม่ได้ว่าเขาอาจจะเป็นตัวจริง หรือ อาจแค่เป็นแพะ หรือว่า...จริงๆแล้ว ฆาตกรตัวจริงอาจจะยังลอยนวลอยู่ และอยู่ร่วมกับพวกเราในสังคมปัจจุบันอยู่นั่นเอง....





อันดับที่ 4  The Connecticut River Valley Killer

ไอ้มีดสยองจอมแทงแห่ง Connecticut River Valley!!

ในช่วงกลางปี 1980 มีฆาตกรต่อเนื่องที่ต้องสงสัยว่า มันได้ฆ่าผู้หญิงอย่างน้อย 6 รายพร้อมกันใน มลรัฐ New Hampshire ชายแดนรัฐ Vermont .....


โดยที่ Jane Boroski เกือบจะเป็นเหยื่อรายที่เจ็ด แต่เธอรอดชีวิตจากเงื้อมมือฆาตกรมาได้ โดยเธอบอกว่า เธอพบกับมันใกล้ร้านขายของใน Swanzey มลรัฐ New Hampshire เมื่อวันที่ 6 เมษายน 1988 เช่นเดียวกับผู้หญิงคนอื่นๆ ทั้ง 6 ราย เธอถูกโจมตีโดยมันใช้มีดพุ่งเข้าแทงอย่างบ้าคลั่ง แต่เธอกลับรอดชีวิตมาได้อย่างปาฏิหาริย์ จากการถูกแทง กว่า 27 แผล ไอ้ฆาตกรได้โจมตีผู้หญิงทั้งหมดใน เขต Connecticut River Valley ใกล้กับเส้นทางสาย 91 ทั้งในมลรัฐ New Hampshire และชายแดนรัฐ Vermont....




เหยื่อรายแรกของมันเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 1978 Cathy Millican อายุ 27 ปี เธอเป็นนักถ่ายภาพนกของพื้นที่อนุรักษ์ Chandler Brook Wetland Preserve ใน New London มลรัฐ New Hampshire ซึ่งเธอกำลังทำงานของเธอตามปรกติ แต่ในวันรุ่งขึ้นร่างของเธอถูกพบเป็นศพจากจุดที่มีผู้อ้างว่าพบเห็นเธอเป็นครั้งสุดท้ายในป่า โดยเธอถูกแท29 แผล....
 
 

ต่อมาในวันที่ 25 กรกฏาคม 1981 นักศึกษามหาวิทยาลัย Vermont ชื่อ Mary Elizabeth Critchley ได้หายตัวไปในขณะที่เธอไปพักแรม โดยที่เธอได้ไปพักกับเพื่อนของเธอ หลังจากนั้นเธอก็หายตัวไป และในวันที่ 9 สิงหาคม 1981 ร่างของเธอก็ถูกพบในบริเวณป่า Unity Stage Road in Unity รัฐ New Hampshire เนื่องจากสภาพของร่างกายที่เน่าเปื่อย ทางแพทย์นิติเวชก็ไม่สามารถที่จะตรวจสอบสาเหตุของการตายได้ แต่หลายคนเชื่อว่าเธอน่าจะถูกแทงด้วยอาวุธมีคม....
  


ต่อมาในวันที่ 20 กรกฎาคม 1984 Ellen Fried อายุ 27 ปี ผู้ช่วยพยาบาลผลัดดึกของโรงพยาบาล Valley Regional Hospital ได้ใช้โทรศัพท์สาธารณะที่อยู่นอกตลาดของ Leo's Market ใน Claremontพูดกับน้องสาวของเธอ โดยที่เธอบอกว่าเธอสังเกตเห็นรถท่าทางแปลกๆมาขับวนเวียนอยู่ใกล้ๆเธอ หลังจากนั้นเพื่อความแน่ใจเธอบอกว่าเธอจะไปตรวจสอบดูรถของเธอ จากนั้นก็วางสาย....

ในวันถัดไปเธอไม่ได้ไปรายงานตัวที่ทำงาน และรถของเธอถูกพบทิ้งอยู่บนถนน Jarvis Road ไม่กี่ไมล์ห่างจากตลาด
Leo's Market แต่กลับไม่มีใครพบเจอเธออีกเลย...
 
 

10 กรกฏาคม 1985 แม่บ้านวัย 27 ปี Eva Morse ได้เดินทางรอนแรมอยู่แถวๆ Claremont และ Charlestown มลรัฐ New Hampshire บนเส้นทางสาย 12 และเป็นครั้งสุดท้ายที่ทุกคนเห็นเธอยังมีชีวิตอยู่ หลังจากนั้นเธอก็ได้หายตัวไป....

6 วันต่อมาซากของเธอก็ถูกพบได้โดย คนงานตัดไม้ โดยศพของเธอถูกพบห่างออกไปประมาณ 500 ฟุต จากที่เคยพบร่าง ของ Mary Elizabeth Critchley เหยื่อรายที่ 2 ในปี 1981 จากการตรวจสอบการชันสูตรศพพบร่องรอยของบาดแผลถูกเชือดด้วยมีดไปที่คอของเธออย่างโหดเหี้ยม....

   
ภาพประกอบนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหา

และแล้วในวันที่ 19 กันยายน 1985 เจ้าหน้าที่ก็พบกับซากส่วนที่เหลือของ Ellen Fried ในบริเวณป่าใกล้ฝั่งของแม่น้ำ Sugar River ใน Kelleyville มลรัฐ New Hampshire จากการชันสูตรพลิกศพพบหลักฐานของบาดแผลถูกแทงหลายจุดและ อาจจะมีการข่มขืนเกิดขึ้นด้วย....


ภาพประกอบนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหา





ในช่วงบ่ายของวันที่ 15 เมษายน 1986 Lynda Moore วัย 36 ปี กำลังทำงานบ้านที่ลานนอกบ้านของเธอใน Saxtons แม่น้ำ Vermont เย็นวันนั้นเองสามีของเธอก็กลับบ้านไปพบศพของภรรยาของเขามีบาดแผลถูกแทงหลายแผล และในที่เกิดเหตุชี้ให้เห็นถึงการต่อสู้รุนแรงที่เกิดขึ้นด้วย....

 






พยานจำนวนมากที่เห็นเหตุการณ์บอกว่า พวกเขาเห็นผู้ชายท่าทางแข็งแรง มีผมสีดำกับเป้สีฟ้า อยู่ใกล้บ้านของ Lynda Moore ในวันที่เกิดการฆาตกรรม โดยพวกเขาคิดว่าน่าจะเป็นชายอายุประมาณ 20 ถึง 25 ปี ไม่มีหนวดเครา มีใบหน้ากลม และสวมแว่นตาดำ และในปีต่อมา ภาพวาดของฆาตกรได้รับการร่างออกมาสู่สายตาประชาชน....  






วันที่ 10 มกราคม 1987 นางพยาบาล Barbara Agnew วัย 38 ปี กำลังเดินทางกลับมาจากการออกไปเที่ยวเล่นสกีกับเพื่อนๆ ใน Stratton รัฐ Vermont เย็นวันนั้นเอง มีคนพบรถ BMW ของเธอจอดอยู่ทางเหนือของถนนสาย I-91 ใน Hartford รัฐ Vermont พบว่าประตูมีร่องรอยความเสียหาย และมีเลือดบนพวงมาลัย... จนกระทั่งในวันที่ 28 มีนาคม 1987 ร่างของเธอก็ถูกพบใกล้กับต้นแอปเปิ้ลใน Hartland โดยที่เธอถูกแทงจนถึงแก่ความตาย.....

Anna Agnew ชูรูปพี่สาวของเธอ Barbara ผู้ซึ่งตกเป็นเหยื่อ




ในขณะที่คดียังไม่ถูกคลี่คลาย ในช่วงปลายของค่ำคืนวันที่ 6 สิงหาคม 1988 Jane Boroski วัย 22 ปี ซึ่งกำลังตั้งท้องได้เจ็ดเดือน กำลังเดินทางกลับมาจาก Keene มลรัฐ New Hampshire เมื่อเธอหยุดรถที่ร้านสะดวกซื้อแถว Swanzey เพื่อที่จะซื้อโคล่าจากเครื่องหยอดเหรียญ เธอเดินกลับไปที่รถของเธอและเริ่มดื่มเครื่องดื่ม ไม่นานนักก็มีรถจี๊ป Wagoneer ได้เข้ามาจอดอยู่ถัดจากรถของเธอ เธอมองผ่านไปยังกระจกมองหลัง ก็เห็นคนขับรถกำลังเดินไปรอบๆ ด้านหลังรถของเธอ จากนั้นเขาก็เดินเข้ามาใกล้หน้าต่างรถที่เปิดอยู่ และถามเธอว่า "โทรศัพท์สาธารณะนั่นใช้งานได้มั้ย?"

แต่ยังไม่ทันได้ตั้งตัว มันก็คว้าเธอและดึงลากเธอออกมาจากรถ เธอพยายามต่อสู้และมันก็ทำการคว้ามีดออกมาแทงเธอไม่ยั้งกว่า 27 ครั้ง โดยที่เธอก็พยายามร้องขอชีวิตแต่ก็ไม่เป็นผล ก่อนที่มันจะรีบขับรถออกไปและปล่อยให้เธอจมกองเลือดนอนรอความตาย...    

เธอกัดฟันคลานกลับไปที่รถและขับออกไปยังถนนสาย 32 เพื่อไปยังบ้านเพื่อนของเธอเพื่อขอความช่วยเหลือ ขณะที่เธอกำลังใกล้จะถึงบ้านเพื่อนนั่้นเอง....เธอก็สังเกตเห็นรถที่ขับรถอยู่ด้านหน้าของเธอและรู้ว่ามันคือคนที่ทำร้ายเธอนั่นเอง!! เธอจึงใจเย็นค่อยๆขับตามมันไปโดยที่ไม่ให้มันสังเกตเห็นรถของเธอ จนในที่สุดเธอก็มาถึงบ้านของเพื่อน และเพื่อนของเธอก็รีบออกมาช่วยเหลือได้อย่างปลอดภัย....
  
Jane Boroski หนึ่งเดียวของเหยื่อผู้รอดชีวิต 



เธอได้รับการรักษาที่โรงพยาบาล และผลการวินิจฉัยพบว่า จากการโดนกกระหน่ำแทงนั้นได้ส่งผลให้เส้นเลือดถูกตัดออก อีกทั้งปอดทั้งสองข้างฉีกขาด ไตและเส้นเอ็นขาดที่หัวเข่าและนิ้วหัวแม่มือของเธอก็ได้รับผลกระทบ แต่โชคดีที่เด็กในท้องปลอดภัย และเธอก็คลอดเด็กออกมาโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน แต่ต่อมาไม่นาน ลูกสาวของเธอก็ได้รับการวิเคราะห์ว่าอาจจะมีอาการสมองพิการ....


เธอให้การกับทางเจ้าหน้าที่ได้ ว่าเธอจดจำหมายเลขทะเบียนรถได้เพียง 3 ตัวเท่านั้นเพราะมันเป็นช่วงกลางคืนทำให้เธอมองเห็นไม่ถนัดนัก.... 

 มีผู้ต้องสงสัยในการฆาตกรรมไม่กี่คนและทางตำรวจได้แสดงให้เห็นว่าหนึ่งในผู้ต้องสงสัยคือ Michael Nicholaou ตรงกับรายละเอียดทางกายภาพของคนที่ทำร้ายเจน  Jane Boroski แต่เขากลับฆ่าตัวตายที่ Florida ในปี 2005 หลังจากที่เขาฆ่าภรรยาและลูกสาวของเขา  

 
ในช่วงเวลาของการเกิดการฆาตกรรม เขาอาศัยอยู่ใน Holyoke รัฐ Massachusetts และภรรยาของเขามีญาติที่อาศัยอยู่ใน รัฐ Vermont ถิ่นที่อยู่ของเขาก็ยังใกล้กับรัฐ 91 


หลายคนเชื่อว่า เขายังจะต้องมีส่วนกับการตายของภรรยาคนแรกของเขา Michelle Ashley ตำรวจมีปัญหาในการเชื่อมโยงเขาเข้ากับการฆาตกรรม นอกเหนือจากคำอธิบาย Jane Boroski ที่จะผูกเขากับกรณี นอกจากนี้เขายังอาศัยอยู่ใน รัฐ Virginia ในช่วงเวลาที่มีเหตุฆาตกรรม Ellen Fried และ Lynda Moore ซึ่งอยู่ไกลกับจุดที่เกิดเหตุ....


นอกเหนือจากนั้นทางเจ้าหน้าที่ก็ยังไม่สามารถสรุปได้อย่างแน่ชัดว่าเขา หรือ ใครที่เป็นฆาตกรโหดคนนี้ได้...และมันก็ยังเป็นคดีปริศนาเรื่อยมา พร้อมๆกับ ความลึกลับของตัวฆาตกรที่ยังลอยนวล....

 


มาถึงอันดับต่อไป....

อันดับที่ 3 Charlie Chop-Off

ชาร์ลีจอมหั่น!!

เจ้าฆาตกรรายนี้ถูกขนานนามว่า "ชาร์ลีจอมหั่น" หรือถ้าจะให้เต็มยศก็ต้องเรียกว่า ..."ชาร์ลีจอมหั่นกระจู๋".... เห็นแบบนี้อย่าเพิ่งขำ เพราะมันโหดใช่ย่อย เหตุที่ได้ชื่อนี้มาก็เพราะวิธีการฆ่าของมันคือ การเชือดเอาอวัยวะเพศเครื่องในชายออกไปจากศพนั่นเอง....บรื้อออออออ



ในวันที่ 9 มีนาคม 1972 Douglas Owens เด็กชายเชื้อสายแอฟริกัน-อเมริกันวัยเพียง 8 ขวบถูกพบเป็นศพอยู่บนดาดฟ้าของตึก Manhattan มนสภาพศพถูกของมีคมแทงกว่า 38 แผล และอวัยวะเพศชายของเขาถูกหั่นเป็นภาพที่น่าสยดสยอง!! 

 
หลังจากนั้นตำรวจได้รับสายโทรศัพท์นิรนาม โดยเขาอ้างว่าชื่อ Erno Soto และเขาคือผู้ฆ่าเด็กชายคนนั้น แต่ทางตำรวจกลับไม่ปักใจเชื่อ คิดว่าเป็นพวกเล่นแพลงๆ จึงไม่มีการตรวจสอบหลังจากนั้น....




หกสัปดาห์ต่อมาในวันที่ 20 เมษายน เด็กผู้ชายอีกหนึ่งคนถูกแทง และอวัยวะเพศของเขาถูกตัดออกไป.... น่าอัศจรรย์ที่เขารอดชีวิตมาได้ ..... โห


รูปประกอบจากภาพยนตร์เรื่อง Pyscho



แต่เหยื่อรายต่อไป Wendell Hubbard ไม่ได้โชคดีนัก... ในวันที่ 23 ตุลาคม ก็มีคนพบศพของเขา โดยสภาพศพถูกแทงด้วยของมีคม 17 แผล และอวัยวะเพศของเขาถูกหั่นออกไป และในอีกห้าเดือนต่อมา Luis Oritz เด็กชายวัย 9 ขวบก็พบกับชะตากรรมเดียวกัน โดยครั้งนี้เขาโดนแทงมากกว่า 38 แผล และเขาถูกพบเป็นศพในห้องใต้ดินของอาคาร ใน East Harlem..... และแล้วเจ้าฆาตกรรายนี้ก็ได้รับการขนานนามว่า "ชาร์ลีจอมหั่น (กระจู๋)" นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา....


 หลังจากนั้นต่อมา ในวันที่ 8 สิงหาคม 1973 เด็กผู้ชายผิวดำอายุ 8ขวบ ชื่อ Steven Cropper ก็ถูกฆ่าตายบนหลังคาด้วยมีดโกน แต่ไม่ได้ถูกตัดเอาอวัยวะเพศไป....

และแล้วในปี 1974 ผู้ชายที่เคยอ้างว่าชื่อ Erno Soto ก็ถูกจับกุมหลังจากที่เขาพยายามจะลักพาตัวเด็กชาวเปอร์โตริโก เมื่อถูกจับกุมตัวได้เขาก็สารภาพ ว่าเป็นผู้ลงมือฆาตกรรม Steven Cropper และเขากลับไม่ยอมรับว่าตนเองคือ "ชาร์ลีจอมหั่น" ประกอบกับเหยื่อที่รอดตายก็ไม่ระบุว่าเขาคือคนร้าย Erno Soto ได้รับการรักษาตัวในโรงพยาบาลโรคจิตหลายปี และได้รับการคุมขังในช่วงเวลาการฆาตกรรมของ Steven Cropper และแพทย์ก็ลงความเห็นว่าเขาวิกลจริต โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับ "ชาร์ลีจอมหั่น" ท้ายที่สุดเขาจึงหลุดพ้นจากข้อกล่าวหาไป....


 ชายที่ถูกกล่าวหาว่าเป็น "ชาร์ลีจอมหั่น"

และในที่สุด คดีนี้ก็ยังคงเป็นปริศนาต่อไป...และฆาตกรจอมหั่น ก็ยังคงลอยนวล!!





อันดับที่ 2 The Frankford Slasher!!

แฟรงค์จอมเชือดแห่งย่านฟิลาเดลเฟีย!!

ในช่วงปี 1985-1990 ย่าน Frankford neighborhood ใน Philadelphia ผู้คนต่างขวัญผวาโดยเหตุฆาตกรรมที่ยังไม่สามารถจับคนร้ายได้!!


เหยื่อคนแรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 1985 เมื่อร่างของ Helen Patent ในวัย 52 ปี ถูกพบในสนามหญ้าข้างรางรถไฟ เธอถูกแทงไปกว่า 47 แผล (ภายหลังพิสูจณ์ว่าเป็นแผลโดนแทงจริงๆแค่ 19 แผล) โดยบาดแผลถูกแทงนั้นมีทั้งบริเวณส่วนหัว และหน้าอกของเธอ ที่รุนแรงสุดเห็นจะเป็นบริเวณช่องท้องที่ถูกแทงลึกจนเห็นอวัยวะภายใน...


แผนที่แสดงจุดที่พบศพ


ที่ร้ายไปกว่านั้นคือเธอยังถูกคุกคามทางเพศ สภาพศพเปลือยตั้งแต่เอวลงไป และเสื้อของเธอถูถลกขึ้นเผยให้เห็นหน้าอกอันเปลือยเปล่าของเธอ....  

 

 5 เดือนต่อมา  Anna Carroll วัย 68 ปี ถูกพบเป็นศพในสภาพถูกของมีคมแทงตายอยู่ในอพาร์ตเมนต์ของเธอเอง เช่นเดียวกับเหยื่อคนแรก เธอถูกข่มขืน สภาพศพเปลือยตั้งแต่เอวลงไป และเสื้อของเธอถูกถลกขึ้น...


ในที่สุดเจ้าฆาตกรรายนี้จึงได้รับการขนานนามว่า "แฟรงค์จอมเชือด" และในช่วงสี่ปีต่อมาหลายคนเชื่อว่า เขามีส่วนในการตายของผู้หญิงอีก 7 คนที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายส่วนใหญ่จะเป็นหญิงวัยกลางคน ผิวขาว....


อีกครั้งเมื่อ Carol Dowd วัย 46 ปี ถูกพบเป็นศพถูกฆ่าตาย อยู่ในหลังตลาดปลาในปี 1990 เจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิษฐานว่า หนึ่งในพนักงานของที่นี่ที่ชื่อ Leonard Christopher เป็นผู้ต้องสงสัย เขาได้รับโทษจำคุกตลอดชีวิตสำหรับความผิดในการกระทำการฆาตกรรม Carol Dowd และยังถูกกล่าวหาว่าเป็น "แฟรงค์จอมเชือด" อย่างไรก็ตามหากแต่ว่าเขาเป็นคนผิวดำ ซึ่งต่างจากปากคำพยานที่รายงานตรงกันว่า เจ้า "แฟรงค์จอมเชือด" เป็นคนผิวขาว....


ภาพสเก็ตคนร้ายที่มาจากปากคำของพยาน

และไม่นานนัก "แฟรงค์จอมเชือด" ก็ได้กระทำการฆ่า Michelle Dehner ผู้หญิงที่เชื่อว่าเป็นเหยื่อรายสุดท้ายของมัน ทั้งๆที่ตอนนั้นนาย Leonard Christopher ก็ยังติดคุกอยู่ หลายคนเชื่อว่าเขาไม่ได้เป็นคนฆ่า Carol Dowd ด้วยซ้ำ (เป็นแพะว่างั้น) และเจ้า "แฟรงค์จอมเชือด" ก็หายไป กลายเป็นคดีปริศนา ที่เชื่อได้ว่าคนถูกจับ ไม่ใช่มัน และมัน....ก็ยังคงลอบนวลตราบจนถึงปัจจุบัน....
 



และแล้ว....


ก็มาถึงอันดับที่ 1....

อันดับที่ 1 The Original Night Stalker/East Area Rapist!!

ต้นฉบับจอมโหด ตำนานแห่งนักล่ายามวิกาล !!

Richard Ramirez ฉายา "นักล่ายามวิกาล" อาจเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่มีชื่อเสียงเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1980 ด้วยผลงานอันสุดเลวร้ายด้วยการฆ่าคนไปกว่า 13 ราย จนสร้างความหวาดกลัวต่อผู้คนในแถบลอสแอนเจลิสในเวลานั้น...

แน่นอนว่าฉายานักล่ายามวิกาลนั้นมาจาก เจ้าฆาตกรรายนี้ชอบออกล่าเหยื่อในตอนเวลากลางคืน เมื่อมันจะก่อคดีมันจะมาป้วนเปี้ยนแถวบ้านของเหยื่อ และเมื่อถึงเวลามันจะบุกเข้ามาในบ้าน และฆ่าเหยื่อด้วยการใช้ปืน ใช้มีดพก หรือใช้ ค้อน อาวุธที่สุดจะหาได้... และยังชอบข่มขืนซ้ำเสียด้วย.... เหยื่อส่วนมากเป็นผู้หญิงมีทั้งวัยรุ่นและคนแก่ 


 หลังการจับกุม Richard Ramirez ได้ มันก็ไม่เคยแสดงความสำนึกผิดต่อข้อหาอาชญากรรมของมันเลยแม้แต่น้อย ศาลจึงตัดสินให้ประหารชีวิต แต่สุดท้ายมันก็เสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนจากโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือขณะรอประหารชีวิตในแคลิฟอร์เนีย...

Richard Ramirez อาจเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่หลายคนรู้จัก และเขาก็ถูกลงโทษตามกฎหมายและเสียชีวิตไปแล้ว แต่หลายคนอาจไม่รู้ว่า ในช่วงที่มันก่อคดีนั้น ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย ได้เกิดคดีฆาตกรรมต่อเนื่องฆ่าคนอย่างน้อย 10 คนในภาคใต้ของแคลิฟอร์เนีย หรืออาจเป็น 13 ราย ทางตำรวจยังไม่ชี้ชัด และลักษณะการก่อคดีนั้นคล้ายกับของ Richard Ramirez มาก คือบุกเข้าบ้านตอนกลางคืนและฆ่าเหยื่ออย่างโหดเหี้ยม!! 


 ฆาตกรรายนี้จึงถูกขนานนามว่า "ต้นฉบับนักล่ายามวิกาล" อันแสดงให้เห็นว่าฆาตกรรายนี้ก่อคดีก่อน Richard Ramirez เสียอีก (Richard Ramirez ก่อคดีเมื่อในช่วง 1984-1985 ส่วนเจ้าต้นฉบับนั้นก่อคดีครั้งแรก เมื่อ 30 ธันวาคม 1979) และที่น่ากลัวกว่า Richard Ramirez ก็คือ เจ้าต้นฉบับนั้นไม่เคยถูกตำรวจจับได้แม้แต่ครั้งเดียว ถึงแม้จะมีผู้ต้องสงสัยหลายคนก็ตาม และถึงจะมีการใช้ DNA มาช่วยการสืบสวนแล้ว เจ้าฆาตกรก็ยังคงลอยนวลจนถึงบัดนี้!!



ตอนแรกๆ เจ้าต้นฉบับรายนี้ก่อคดีข่มขืนต่อเนื่อง ในนามของนักข่มขืนพื้นที่ตะวันออก Contra Costa County ซึ่งในช่วงปี 1976 ได้เกิดคดีข่มขืนเกิดขึ้นมากถึง 50 ราย โดยคนร้ายจะก่อคดีดักข่มขืนในทางเปลี่ยว และต่อมาก็เปลี่ยนมาเป็นบุกบ้านของเหยื่อ โดยเจ้านักข่มขืนนี้ชอบใช้ความรุนแรงและชอบใช้ปืนข่มขู่เหยื่อ เจ้านักข่มขืนคนนี้ค่อนข้างฉลาด เพราะมีการปิดหน้า และสวมถุงมือเพื่อไม่ให้มีหลักฐาน แถมยังเลือกเป้าหมายที่เป็นผู้หญิงที่อยู่เพียงคนเดียว....


 แต่ตอนหลังมันก็เริ่มย่ามใจก่อคดีแม้ว่าผู้หญิงที่เป็นเหยื่อคนนั้นจะมีผู้ชายอยู่ด้วยก็ตาม  แน่นอนว่าชาวบ้านที่อาศัยอยู่แถวนั้นต่างหวาดกลัวและตื่นตระหนก หลายคนถึงขั้นซื้ออาวุธปืน และซื้อสัญญาณเตือนภัยมาติดบ้านกันไว้เลยทีเดียว.... ส่วนนายอำเภอแม้จะพยายามสืบสวนและกวดขันระวังภัยแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถหยุดก่อคดีของนักข่มขืนรายนี้ได้เลย


 เจ้านักข่มขืนก็ก่อคดีมาอย่างยาวนาน และมากมายรวมกว่า 49 คดี จนกระทั่งถึงคดีที่ 50 ในวันที่ 1 ตุลาคม 1979 มันได้บุกบ้านใน Santa Barbara County ซึ่งเป็นบ้านของนักเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพื่อข่มขืนสองคนในบ้าน มันร้องเพลง "กูจะฆ่าพวกแก......" จนผู้หญิงหวาดกลัวและส่งเสียงกรีดร้อง โชคดีที่เพื่อนบ้านที่เป็นเอฟบีไอได้ยินเสียงนี้ จึงเข้ามาช่วยได้ทัน แต่กระนั้นนักข่มขืนก็สามารถหนีไปได้อย่างหวุดหวิด และไม่รู้ว่าเพราะความล้มเหลวครั้งนี้หรือเปล่า เพราะในเวลาต่อมา เจ้าฆาตกรข่มขืนได้เปลี่ยนสภาพตนเองเป็นกลายเป็น ฆาตกรต่อเนื่อง ฆ่าเหยื่อไปกว่า 10 รายซ้อน ตั้งแต่ ช่วงวันที่ 30 ธันวาคม 1979 - 4 พฤษภาคม 1986


ครั้งแรกในวันที่ 30 ธันวาคม 1979 เจ้านักข่มขืนพื้นที่ตะวันออกก่อคดีฆาตกรรมครั้งแรกเมื่อมันบุกเข้าไปยิง Dr. Robert Offerman ศัลยแพทย์กระดูกอายุ 44 ปี  และ Debra Alexandra Manning นักจิตวิทยาอายุ 35 ปี ขณะถูกมัดอยู่บนเตียง ในคอนโด ใน Goleta แม้ว่าเพื่อนบ้านจะได้ยินเสียงปืน แต่ก็เข้าไปช่วยเหลือไม่ทัน เจ้าฆาตกรได้หนีไป 


Dr. Robert Offerman เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายรายแรก

แถมในระหว่างทางก็ยังดันขโมยจักรยานเพื่อนบ้านคนหนึ่งเพื่อใช้หนีไปอีกด้วย.... และตอนหลังมีการพบจักรยานถูกทิ้งอยู่บนถนนทางทิศเหนือของที่เกิดเหตุ....


ต่อมาวันที่ 13 มีนาคม 1980 Charlene Smith อายุ 33 ปี และ Lyman Smith อายุ 43 ปี ที่กำลังจะกลายเป็นผู้พิพากษาในไม่กี่วันข้างหน้า ก็ถูกพบเป็นศพบนเตียงในบ้านของพวกเขาใน Ventura ฆาตกรใจเหี้ยมได้ผูกมัดข้อมือข้อเท้าด้วยเชือกผ้าม่าน ก่อนที่จะใช้ท่อนไม้จากเตาผิงกองฟืนนอกบ้านมาเป็นกระบองทุบตีทั้งคู่จนตาย Charlene Smith ถูกข่มขืน แต่ที่แปลกคือปมเชือกข้อมือที่ฆาตกรใช้มัดเหยื่อนั้นมีลักษณะพิเศษที่ไม่เคยพบเจอที่ไหนมาก่อน.... ตำรวจยังคงสับสนกับคดีนี้เพราะเหยื่อทั้งคู่มีศัตรูอยู่มากมาย ทำให้มีหลายคนตกเป็นผู้ต้องสงสัย นักวิเคราะห์ไม่สามารถเชื่อมโยงคดีนี้กับคดีก่อนหน้าได้ว่าเป็นคดีเดียวกัน ฆาตกรนำหน้าตำรวจไปได้อีกก้าวหนึ่ง


เหยื่อรายต่อมาในวันที่ 19 สิงหาคม 1980 นักศึกษาแพทย์ Keith Harrington อายุ 24 ปี และ พยาบาล Patrice Harrington อายุ 28 ปี ซึ่งเป็นภรรยาของเขา ถูกมัดและใช้กระบอกทุบจนตายภายในบ้านของพวกเขาใกล้ Dana Point และ Patrice Harrington ถูกข่มขืน

 วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 1981 Manuela Witthuhn อยู่บ้านคนเดียวเพราะสามีของเธออยู่ในโรงพยาบาล และเธอก็ถูกผู้บุกรุกฆ่าตายในบ้านของเธอเองใน Irvine ร่างของเธอแสดงให้เห็นว่ามีการผูกมัด ฆาตกรได้ข่มขืนเธอก่อนและใช้กระบอง หรือไม่ก็อาวุธอะไรสักอย่างสังหาร

 

ในเดือนกรกฏาคม 1981 ฆาตกรก็ได้เหยื่ออีกคู่ เมื่อมันบุกมาบ้านของ Cheri Domingo อายุ 35 มันจับเธอมัดพร้อมกับอดีตแฟนของเธอ Gregory Sanchez อายุ 27 ปี ฝ่ายหญิงถูกข่มขืน และทั้งคู่ถูกตีตายด้วยกระบอง เชื่อว่าฆาตกรได้นำอาวุธมาจากเพิงเล็กๆ หลังบ้าน และ Cheri Domingo ยังถูกยิงซ้ำ ทั้งคู่ถูกพบศพในเวลาต่อมา แต่อย่างไรก็ตามการตายของทั้งคู่ถูกสันนิษฐานตอนแรกคือเป็นฝีมือของแก๊งค์ท้องถิ่น แต่ที่แปลกก็คือใกล้ที่เกิดเหตุมีสุนัขสีขาวตัวหนึ่งอยู่ด้วย ซึ่งเชื่อว่าเป็นสุนัขของเจ้าฆาตกรนั่นเอง....
 
 




ต่อมาในวันที่ 4 พฤษภาคม 1986 Janelle Lisa Cruz อายุ 18 ปีก็ถูกฆาตกรบุกมาในบ้าน จัดการมัดเธอและข่มขืน สุดท้ายก็ใช้ประแจปากตายทุบตีเธอจนตาย ในช่วงที่เธออยู่บ้านคนเดียว ขณะที่ครอบครัวของเธอไปเที่ยววันหยุดใน Mexico


 





รูปที่ระลึกถึง Janelle Lisa Cruz ที่ถูกฆ่าในวัยเพียง 18 ปี




แม้ว่าฆาตกรจะฆ่าเหยื่อไปกว่า 10 รายซ้อน แต่ก็ไม่มีใครสังเกตว่ามันเป็นฝีมือของฆาตกรต่อเนื่อง เพราะไม่มีอะไรเชื่อมโยงถึงกันเลย ยกเว้นการก่อเหตุและถูกฆ่าเหมือนกัน นั่นก็คือ ทั้งหมดถูกบุกรุกในเวลากลางคืน และเหยื่ออยู่ในบ้านพวกเขา ก็ถูกทุบ หรือถูกยิงตาย จนกระทั่ง ในปี 2001 มีการตรวจ DNA ก็พบเรื่องน่าทึ่งว่า นักข่มขืนตะวันออก และต้นฉบับนักล่ายามวิกาลนั้นเป็นคนเดียวกันแน่นอน!!
 

สำหรับการตรวจดีเอ็นเอนั้น แม้ว่าคดีจะผ่านยาวนานถึง 30 ปี แต่หลักฐานยังอยู่ครบ ซึ่งมีถึง 50 ชิ้น มีทั้งผ้าห่ม ผ้าคลุมเตียง คราบผมและน้ำอสุจิ สิ่งเหล่านี้เมื่อตรวจในห้องแล็บอาชญากรรมก็สามารถเห็นผลเชื่อมโยงกันได้.....

ในช่วง 30 ธันวาคม 1979 ถึง วันที่ 4 พฤษภาคม 1986 ต้นฉบับนักล่ายามวิกาลได้ฆ่าเหยื่อไป 10 ราย และนอกจากนี้ยังมีเหยื่ออีกสามรายที่ไม่มีหลักฐานชี้ชัดเชื่อมโยงว่าเป็นฝีมือของเจ้าต้นฉบับหรือเปล่า นักวิเคราะห์ได้สันนิษฐานว่าฆาตกรต่อเนื่องรายนี้เป็นชายผิวขาว อายุประมาณ 26 ถึง 30 ค่อนข้างเป็นหนุ่มแต่งตัวดีแต่ไม่หรูหรามากนัก อีกทั้งยังเรียบร้อย จนมองไม่ออกว่าเป็นคนอันตราย อาศัยหรือไม่ก็ทำงานอยู่ใกล้
Ventura California ในปี 1980





 ภาพสเก็ตคนร้ายที่ออกมาในรูปแบบต่างๆกันไป

ชายผิวขาวคนนี้น่าจะมีประวัติชีวิตที่ไม่ดีนัก น่าจะมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ มีความรุนแรงทางเพศ น่าจะเริ่มเป็นพวกถ้ำมองในช่วงวัยรุ่นอายุ 20 ต้นๆ และเป็นคนฉลาดอย่างร้ายกาจ เพราะรู้วิธีการสืบสวนของตำรวจ ทำให้มันไม่ทิ้งหลักฐานสำคัญเอาไว้นอกจากจะฉลาดแล้วยังน่ากลัว เพราะมีการพัฒนาจากนักข่มขืนมาเป็นฆาตกรต่อเนื่อง จากเล็งเหยื่อคนเดียว มาเป็นคู่ชายหญิง เวลาก่อเหตุเป็นตอนกลางคืน และรอให้เหยื่อเข้านอน จากนั้นก็ทำเป็นแกล้งมาปล้นเพื่อให้ผู้ตกเป็นเหยื่อไม่ดิ้นรนเอาชีวิตรอดมานัก ก่อนที่จะมัดพวกเขา ข่มขืนผู้หญิง และฆ่าทั้งคู่แบบไร้ความปราณี....



ภาพสเก็ตเจ้าไนท์สโตร์กเกอร์ในอีกแบบ

ที่น่าแปลกคือ ในปี 1986 หลังจากที่สังหาร Janelle Lisa Cruz การฆาตกรรมต่อเนื่องก็ได้หยุดลง เชื่อว่าฆาตกรอาจตาย หรือไม่ก็ออกไปหาเหยื่อในพื้นที่อื่น หรือไม่ก็จำคุกคดีอาญาอื่น แน่นอนว่าตลอดระยะเวลาสืบสวน ก็มีผู้ต้องสงสัยว่าเป็นต้นฉบับนักล่ายามวิกาลอยู่ในแฟ้มตำรวจหลายคน แต่ส่วนมากเป็นผู้ต้องสงสัยของคดีฆาตกรรมคดีเดียวในคดีนั้นๆ มากกว่า ไม่น่าจะเป็นคนที่สามารถก่อคดีฆาตกรรมต่อเนื่องได้ โดยรายชื่อผู้สงสัยบางส่วนก็เช่น....

Brett Glasby พ่อค้ายาเสพติดที่ ต้องสงสัยว่าเป็นคนฆาตกรรม Janelle Lisa Cruz หากแต่ยังไม่ทันได้สอบสวนเขาก็ถูกฆ่าตายเสียก่อน ในเม็กซิโกเมื่อปี 1982


Paul "Cornfed" Schneider สมาชิกระดับสูงของกลุ่มภราดรแห่งอารยัน  ก่อคดีมามากมาย รวมถึงพื้นที่ก่อคดีของต้นฉบับนักล่ายามวิกาลด้วย และหลังจากเขาติดคุกคดีต่อเนื่องก็หยุดลง ดังนั้นเขาจึงเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับต้นๆ หากแต่ข้อสมมุติฐานนี้ก็ถูกตัดไปจากการตรวจสอบดีเอ็นเอที่ผลปรากฏแน่ชัดว่าเขาไม่ใช่ต้นฉบับนักล้ายามวิกาล.... 

Joe Alsip นักธุรกิจเพื่อนของ Charlene Smith และ Lyman Smith ในคืนก่อนเกิดเหตุเขามาเยี่ยมบ้าน และนอกจากนี้คำให้การของบาทหลวงท่านหนึ่งได้อ้างว่าเขามาสารภาพบาปว่าเป็นคนฆ่าทั้งสองตาย อย่างไรก็ตามหลังจากมีการไต่สวนก็พบว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์....


ในปี 2002 นักข่าวคนหนึ่งได้เขียนหนังสือพิมพ์ สันนิษฐานเกี่ยวกับตัวฆาตกรต้นฉบับนักล่ายามวิกาลว่า เป็นไปได้หรือไม่ว่าฆาตกรต่อเนื่องนี้ที่หยุดก่อเหตุ เพราะถูกจับในข้อหาอื่น ถูกขังในคุกของแคลิฟอร์เนีย และน่าจะเป็นนักโทษประหารคดีร้ายแรง และถูกประหารไปแล้ว โดยที่ไม่ได้รับการเชื่อมโยงกับคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามข้อสันนิษฐานนี้ก็ตกลงไป เพราะมีการตรวจ DNA ย้อนหลังของนักโทษประหาร ก็ไม่มีใครตรงกับต้นฉบับนักล่ายามวิการแม้แต่น้อย


สุดท้ายแล้ว คดีนี้ก็ยังคงมืดมนเป็นปริศนา และ เจ้านักฆ่าต้นฉบับยามวิกาลก็น่าจะยังคงลอยนวลต่อไปตราบชั่วชีวิตของมันนั่นเอง!! 


จบลงแล้วนะครับ สำหรับการพาไปท่องโลกแห่งปริศนาฆาตกรรม และพบกับบรรดาเหล่าฆาตกรต่อเนื่องที่ยังไม่มีใครจับมันได้...

อันนี้ถือว่าเป็นเรื่องแรกๆที่ผมลองเขียนลงบล๊อกดู และหลังจากนี้ผมก็จะหาเรื่องราวความเร้นลับ น่าสนุก น่าค้นหา มาเขียนลงให้อ่านต่อไปเรื่อยๆนะครับ เพราะชอบเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว....

เรื่องทั้งหมดผมแปลมาจากเว็บต่างประเทศ ด้วยภาษาอังกฤษที่ไม่ค่อยจะแข็งแรงสักเท่าไหร่ แฮ่ๆ...

มีอะไรผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ จะพยายามแก้ไขให้ดียิ่งๆขึ้นไป....

แล้วพบกันใหม่ครับ สวัสดีจ้า..... ^_^

Thank CR : listverse.com
Thank CR : criminalminds.wikia.com
Thank CR : wikipedia.org 

เชิญแสดงความเห็นท่านได้ที่ช่อง Facebook ด้านล่างนะจ้ะ...


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น