Light Yagami - Death Note

TOP FIVE By NopLucifer : 5 อันดับ โรงแรมผีดุในไทย!! จากเรื่องเล่าบนโลกออนไลน์ โซนภาคเหนือ TOP FIVE : Tale From Haunted Hotel Zone Northern Thailand

วันนี้ครึ้มอกครึ้มใจอย่างไรไม่รู้ เพราะไปเขียนเกี่ยวกับโรงแรมผีดุทั่วโลกไว้ แต่มันยังรู้สึกว่า มันยังไม่หลอนนะ... อาจจะเป็นเพราะเราไม่ค่อยจะอินกับผีฝรั่งมากนัก มันเลยไม่ค่อยน่ากลัว ... พอดีกับ ไปค้นคว้าเกี่ยวกับโรงแรมผีชื่อดังแห่งหนึ่งในพัทยา... แหม๋ .... หลอนเข้ากระดูกเลย วันนี้เลยนึกสนุกไปค้นเพิ่ม แล้วพบว่า มันน่าจะมีประโยชน์สำหรับนักท่องเที่ยวนะเพราะส่วนใหญ่ไกค์เขาก็แนะนำโรงแรมน่าอยู่ หรือ โรงแรมนั่นดี นี่ดี...แต่ไม่ยักกะบอกว่า มีผีด้วยหรือเปล่า ฮา......
 

เอาล่ะ ไหนๆก็ไหนๆ สำหรับท่านที่ชื่นชอบการไปเที่ยวต่างจังหวัดบ่อยๆ ผมก็อยากจะเขียนเกี่ยวกับที่พักที่ท่านไปเยือนซะหน่อยจะได้เตรียมตัวรับมือได้ทันท่วงที ไม่ใช่ว่าไปเที่ยวทั้งที ผีหลอกกันหัวโกร๋นกลับบ้าน ฮ่า.......ผมขอแบ่งออกไปเป็นภาคๆละกันเน้าะ ขอยกมาภาคละ 5 โรงแรมละกัน เริ่มต้นที่ภาคเหนือก่อนเลยเน้าะ...

เอาล่ะ !! เตรียมตัวเตรียมใจ พร้อมสมุดปากกา จดกันไว้นะ .... ก่อนออกทริป ไปนอนให้ผีอำกัน อิอิ....


ผมขอสงวนชื่อโรงแรมเพื่อรักษาผลประโยชน์ของทางโรงแรมไว้นะครับ ให้เดาๆกันเอาเองเน้อ ว่ามันคือโรงแรมอะไร หุหุ...


 


ปล. ภาพประกอปทุกๆภาพไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ
กับสถานที่จริงภายในเรื่องนะครับ....



เริ่มต้นกันด้วย ....




อันดับที่ 5

โรงแรมเฮี้ยนระดับประเทศที่ นครสวรรค์....


เป็นเรื่องเล่าจากประสบการณ์ตรงของคุณ ลาบไก่ใส่ตับหมู.... เมื่อได้ไปเยือน ณ โรงแรมแห่งนี้....
 

ตอนนั้นฉันมีโอกาสได้แสดงภาพยนต์เรื่องนึงเราไปถ่ายทำกันที่จังหวัดนครสวรรค์ พอตกกลางคืน ทางทีมงานก็เปิดห้องพัก 2 ห้องให้ฉัน แม่ น้องชาย และพี่คนขับรถ ได้พักผ่อนกันด้านล่างของโรงแรม ค่อนข้างสวยงามใช้ได้ แต่พอขึ้นลิฟท์ไปจนถึงห้องพักนี่สิ....บรรยากาศน่ากลัวสุด ๆ เหมือนกับคนละโลกกันเลย ฉันมองผ่านหน้าต่างออกมา ก็เห็นว่า มีหลุมศพอยู่ 2 หลุมติดกันเลย ตอนนั้นใจน่ะ อยากจะขอเปลี่ยนห้องแล้วล่ะ แต่ก็เกรงใจทางทีมงานอยู่ไม่น้อย ก็เลยจำใจนอนห้องนี้ก็ได้ฟะ..... และอีกอย่างก็คิดว่า วิวห้องไหน มันก็คงจะเหมือน ๆ กันแหละ แต่ตอนนั้น ยังไม่ทันได้สำรวจห้องอะไรมากมาย ก็ต้องรีบลงไปข้างล่างก่อน เพราะว่าเดี่ยวจะมีพี่ที่กองถ่ายจะต้องบอกคิวว่า วันไหนจะต้องย้ายกองไปที่ไหน และพวกเราก็ลงไปเที่ยวในเมือง.....

กลับมาก็ เริ่ม ๆ ทำการสำรวจห้อง พบว่า ห้องพักเก่ามาก เตียงนอนก็เหม็นสุด ๆ มีคราบเหลือง ๆ แดง ๆ อะไรก็ไม่รู้ ปะปนกันมั่วไปหมด ส่วนผนังห้องก็มีสีแดงๆ คล้ายคราบเลือดเลอะผนังห้องเต็มไปหมด ห้องน้ำก็มีไฟหลอดแดงห้อยโตงเตงอยู่สีของหลอดก็สลัวๆได้อารมณ์สยิวกิ้วยิ่ง นัก กระจกห้องน้ำ ไม่ต้องพูดถึง เป็นคราบ ๆ เลอะ ๆ เต็มไปหมด เวลามองหน้าตัวเองในกระจก จะรู้สึกว่าตัวเองดูป่วย ๆ ดูโทรม ๆ ไปถนัดตา พูดง่าย ๆ ว่าดูแล้วน่ากลัวน่ะค่ะ อ่างอาบน้ำ และฝักบัว ก็เก่าแสนเก่ามองยังไงก็ไม่กล้าอาบน้ำในอ่างแน่ ๆ กลัวโดนผีจับกดน้ำ ห้องเหม็นอับมาก ๆ ขอบอก.....


หลังจากที่ฉัน สำรวจห้องพัก ทั้ง 2 ห้องเรียบร้อยแล้ว ฉันก็มีความคิดเจ้าเล่ห์นิด ๆ ก็คือ ฉันเลือกที่จะนอนในห้องที่มี TV ค่ะ เพราะคิดเอาเองว่า อย่างน้อย ๆ ห้องนี้ก็น่าจะไม่มีผี เพราะว่า น่าจะมีคนมาพักบ่อยเพราะยังมี TV อยู่เลย ส่วนห้องที่ไม่มี TV ฉันก็ยกให้น้องชาย กับพี่ที่มาขับรถให้ นอนแทน อิอิ ดังนั้น ฉันกับแม่ก็เลือกที่จะนอนห้องนี้ พอเข้าห้องฉันก็เปิดทีวีดู.....

ฉันก็กำลังปรับ ๆ ทีวีดู ส่วนแม่ฉันก็นอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียง ขณะที่ฉันกำลังปรับทีวีอยู่นั้น เห็นแม่ทำหน้าแปลก ๆ พร้อมทำจมูกฟุดฟิต ๆ ฉันถามว่ามีอะไรเหรอ แม่ก็ไม่ตอบ พร้อมส่งซิก ว่าเหมือนกำลังมีอะไรบางอย่าง ที่มองไม่เห็นอยู่ข้าง ๆ แม่ฉันฉันก็เลยถามว่า "มีอะไรเหรอ แม่" แม่ก็ตอบว่า "ได้กลิ่นอะไรมั้ย เหม็นมาก ๆ" ฉันก็ตอบว่า "ไม่ได้กลิ่นค่ะ" สักพัก เหมือนสิ่งที่มองไม่เห็นจะได้ยิน แล้วเดินมาทางฉัน เพราะขณะที่ฉันปรับทีวีที่ไม่ชัดอยู่นั้น อยู่ดีๆ ก็ได้กลิ่นขึ้นมา เป็นกลิ่นเน่า เหมือนมีอะไรตาย มาอยู่ข้างๆ ฉัน เหม็นมากพอฉันได้กลิ่น ฉันก็หันไปมองหน้าแม่ พร้อมกับบอกแม่ว่า "ได้กลิ่นแล้วๆ" ฉันถามว่า "แม่ยังได้กลิ่นอยู่หรือเปล่า" แม่บอก "ไม่ค่อยได้กลิ่นแล้ว" ฉันก็เลยตอบไปว่า "ตอนนี้เค้าคงมายืนข้างๆ ฉันแล้วล่ะ เพราะกลิ่นตรงนี้แรงมากๆ เมื่อกี้ยังไม่มีอยู่เลย" 

พอพูดยังไม่ทันขาดคำ สิ่งที่มองไม่เห็นนั่น ก็เริ่มแสดงอิทธิฤทธิ์ขึ้นมาทันที...... คือ ทีวีที่ฉันกำลังปรับ เพื่อให้ภาพคมชัดนั้น ตอนนั้นกำลังจะดูข่าวหรือละครช่อง 7 นี่ละ จากภาพข่าว ก็กลายเป็น ภาพข่าวอย่างเดียว แต่เสียงที่ควรจะรายงานข่าวน่ะ กลายเป็นเสียงสวดมนต์แบบแขก ๆ ฉันก็ลองเปลี่ยนเป็นช่องอื่น ๆ แต่ว่าเสียงก็ยังเป็น เสียงสวดมนต์เหมือนเดิมทุกช่อง มันน่าแปลกมั้ยล่ะ?



สักพักมันเริ่มจะไม่ไหวแล้ว เพราะว่าพอฉันปิดทีวี มันก็ยังมีเสียงสวดมนต์อยู่เลย นั่นทำให้ฉันกับแม่ ตัดสินใจวิ่ง ลุกออกไปเปิดประตู เพื่อวิ่งไปยังห้องน้องชาย แต่ว่า ประตูมันเปิดไม่ออกค่ะ เปิดเท่าไหร่ก็เปิดไม่ออกสักที แต่โชคยังดีที่โทรศัพท์ใช้การได้ ฉันจึงโทรมาที่ห้องของน้อง บอกให้น้องมานี่หน่อยไม่ต้องพูดอะไร ให้รีบๆ มาเดี๋ยวนี้เลย น้องฉันก็เลยมาเคาะประตู พร้อมกับบิดประตูเข้ามาอย่างง่ายดาย ส่วนฉันกับแม่ พอเห็นน้องชายเข้ามาได้ ก็ค่อยโล่งอก รีบวิ่งแจ้นออกนอกห้องกันแทบไม่ทัน พอเข้ามาห้องน้องชายเรียบร้อยแล้ว แม่ก็บอกว่าลืมของในห้อง พี่คนที่ขับรถมาให้ก็เลยบอกว่า จะไปหยิบมาให้ พร้อมกับเรียกน้องชายของฉันให้ไปเป็นเพื่อน แต่ว่าเค้าไม่ได้หยิบแค่ของอย่างเดียว ยังหยิบอย่างอื่นเข้ามาด้วย นั่นก็คือ....... ที่นอนค่ะ .....



นาทีนั้น ตอนที่ฉันเห็นที่นอน ฉันนะตกใจมากๆ เพราะว่ามันเหมือนกับการเอาของ ๆ ห้องที่มีผีเข้ามา แบบนี้ผีมันก็ตามเข้ามาด้วยน่ะสิ คิดยังไม่ทันไร ตาก็เหลีอบไปเห็น เลือดค่ะ เลือดเลอะเต็มด้านหลังของที่นอนนั่นเลย ไม่ใช่เลือดประจำเดือนแน่ๆ เลือดมากขนาดนี้ สงสัยมีการฆ่ากันตาย บนเตียงนี้แน่ ๆ คือ ตอนที่น้องฉันกับพี่คนขับรถ ไปหยิบที่นอนน่ะ เขาไม่เห็นเลือด แต่เห็นว่าพอหยิบที่นอนมาแล้วเจอยันต์ และหนังสือสวดมนต์วางอยู่ใต้ที่นอน .....

นั่นทำให้ฉันกับแม่ ร้องพร้อมกันว่า "เอาไปเก็บเดี่ยวนี้" น้องฉันกับพี่คนขับรถยังงงไม่หาย จนฉันต้องบอกต่อว่า"เลือดเต็มไปหมด" นั่นทำให้น้องชายฉันถึงกับเข่าอ่อน ด้วยความตกใจ เพราะเกิดมา ไม่เคยเห็นที่นอน ที่มีเลือดเยอะขนาดนี้เลย น้องชายฉันไม่กล้าไปที่ห้องนั่นเลย แต่ว่าแม่สั่งให้ช่วยพี่เค้า น้องชายฉันเลยต้องช่วยกัน แบกที่นอนไปเก็บด้วยความจำใจ.....พี่คนขับรถให้ฉัน เป็นนักวิทยุฯ สมัครเล่นด้วย เค้าจะมี"วอ" (ที่เหมือนของตำรวจน่ะค่ะ ที่ใช้คุยกันน่ะค่ะ) ติดตัวตลอด เพื่อใช้พูดคุยกัน ซึ่งเจ้าวิทยุ หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่า "วอ" เนี่ย ก็จะสามารถพูดคุยกับคนในท้องถิ่นนั้นด้วย ฉันก็ได้ยิน พี่จิ้น (ก็พี่คนที่ขับรถให้ฉันนั่นแหละ) พูดคุยกับคนในวอ แล้วคนในวอเค้าก็ถามว่า พักที่ไหน โรงแรมอะไร?


ภาพจากภาพยนตร์ JUON ผีดุ

พี่จิ้นก็ตอบๆ ไป สักพักเค้าก็ตอบกลับมาว่าคนในวอ เค้าก็แทบจะพร้อมใจกัน ตอบออกมาว่า..... "หา อะไรนะ ทำไมมานอนโรงแรมนี้ล่ะ นี่มันโรงแรมผีสิงนะ ผีดุมาก ผีแขกด้วย เป็นป่าช้าเก่า ให้พวกเรารีบย้ายออกมาโดยด่วน ไม่มีใครนอนโรงแรมนี้ได้พ้นคืนหรอก ต้องวิ่งป่าราบกันทุกคน เพราะว่าในโรงแรมนี้น่ะ มีทั้งฆ่ายัดใต้เตียง ฆ่ากันในอ่างอาบน้ำ และที่สดๆ ร้อนๆ เมื่อ 3 วันที่แล้ว ยิงกันตายในลิฟท์" โอ้ว พระเจ้าช่วยกล้อยทอด นี่มันอะไรกันฟะเนี่ยยย ฉันนั่งฟังตาปริบ ๆ น้องชายฉันก็นั่งทำหน้าเหวอๆ แม่ฉันก็อึ้งๆ ส่วนพี่จิ้น ก็ยังคุยไม่เลิก ยิ่งพูดก็ยิ่งน่ากลัวๆเรื่อยๆ


ขณะนั้นเอง ... จู่ๆก็มีเสียงเคาะประตู พอเปิดไปก็กลับไม่เจอใคร เราก็นึกว่าทีมงานมาแกล้งหรือเปล่าหว่า สักพักก็ยังมีคนมาเคาะอีกหลายหน ฉันจึงตัดสินใจลุกไปกัน 3 คนเพื่อส่องตาแมวให้รู้ไปเลยว่าใครมาแกล้งฟะ ปรากฏว่าขณะที่เสียงเคาะประตูกำลังดังอยู่นั้น ฉันส่องตาแมวพอดี ก็ไม่เห็นมีใครมาเคาะประตูเลย นั่นทำให้ฉันเหวอมาก ๆ ส่วนลิฟท์ ก็มีเสียงคนขึ้นลงตลอดเวลา และที่สำคัญไม่ว่าลิฟท์จะขึ้นหรือลงยังไง ก็ต้องมาหยุดตรงชั้นห้องของฉัน และต้องมีเสียงคนเดินมาหยุดหน้าห้องทุกที ซึ่งแน่นอนว่า พวกเราไปส่องตาแมวดูแล้วก็ไม่มีใครสักคน.....



ขณะที่ประตู กำลังเคาะอยู่นั้น พี่จิ้นก็แสดงความกล้าหาญด้วยการเปิดประตูทันที แล้วก็ออกไปมองข้างนอก ว่าใครวะ มาแกล้งป่านนี้ ซึ่งก็ไม่เจอใครสักคนเลยค่ะ และก็ไม่มีทางด้วยที่ใครจะมาแอบ เพราะมันไม่มีมุมให้แอบได้เลย อ้อ ส่วนห้องข้างๆ คือ จะมีลิฟท์ก่อน และก็ห้องเก็บของ และก็ห้องฉัน นะคะ ก็เคาะผนังตรงหัวเตียงฉันทั้งคืนเช่นกันค่ะ คุณลองคิดเล่นๆ ดูสิ ว่าฉันกำลังนอนกลัวอยู่บนเตียง แต่หัวเตียงน่ะ มีเสียงคนเคาะดังมากๆ เลย เคาะป๊อก ป๊อก ป๊อก แถมลากของทั้งคืน เสียงเหมือนลากตู้ ลากเตียง เอี๊ยด อ๊าดทั้งคืน.....

สักพัก น้องชายของฉันก็กลัวจนหลับไป คือ นอนทั้งน้ำตาน่ะค่ะ ขณะที่น้องฉันกำลังหลับอยู่นั้น อยู่ดี ๆ ก็ลุกขึ้นมา ทำท่าทางเหมือนคนแขก และก็พูดภาษาแขก ๆ ว่า อะบิดาบา อะไรประมาณนี้น่ะค่ะ ไม่รู้แปลว่าอะไร แต่ว่าน่ากลัวมาก ๆ เพราะว่าปกติน้องชายฉันไม่เคยนอนละเมอเลย แต่นี่ลุกขึ้นมาดื้อ ๆ อย่างนั้น มันน่ากลัวมาก ๆ ค่ะ จนแม่ต้องให้พระคล้องคอน้องใส่ น้องถึงนอนลงได้ อ้อ...ลืมบอกไปว่า ตอนที่เข้าห้องนี้แล้ว ช่วงที่เกิดเหตุการณ์แรกๆ ขึ้นคือ มีคนเคาะประตูนี่ ฉันกับคุณแม่ก็สวดมนต์พระคาถา ชินบัญชรด้วยนะคะ ลองคิดดูสิว่าขนาดสวดมนต์ก็แล้ว แผ่ส่วนบุญส่วนกุศล บอกเจ้าที่เจ้าทางก็แล้ว ยังโดนขนาดนี้ ถ้าไม่ทำจะโดนขนาดไหนเนี่ย......


ตอน แรกๆ แม่เริ่มถอดใจ หลังจากน้องชายโดนผีเข้า แม่กะว่า เราออกไปหาโรงแรมอื่น นอนกันเถอะลูก แต่เรากลับคิดว่า นอนที่นี่ต่อไปดีกว่า..... เพราะว่า กลัวผีในลิฟท์อีก เกิดเข้าลิฟท์ดี ๆ แล้วลิฟท์ค้างกะทันหัน ไฟดับจะทำอย่างไร ไม่ตายกันในลิฟท์เหรอ ป่านนี้แล้วใครจะมาช่วย ตอนนั้นมันก็ดึกมาก ๆ แล้ว ตีอะไรก็ไม่รู้ ไม่รู้จะไปนอนที่ไหน เพราะไม่เคยมาจังหวัดนี้มาก่อน แล้วก็ไม่รู้ว่าที่อื่นมันจะดุกว่านี้หรือเปล่า.....


สรุปคืนนั้น เรียกได้ว่าแทบไม่ได้นอน เจอผีกันทั้งคืน เจอจนจากกลัวเป็นโกรธ ฉันโกรธจริงๆ นะ เข้าใจเลยว่า คนที่กลัวอะไรสุดๆ สามารถเปลี่ยนความกลัว เป็นความโกรธได้ คือ ช่วงหลังๆ เริ่มจะชินแล้ว ตกเช้ามาเจอคนทำความสะอาด 2 คนเดินมาพอดี ฉันเลยถามเลยว่า พี่คะ ห้องนี้เมื่อคืนมีใครเข้ามาลากอะไรหรือเปล่าคะ พี่คนทำความสะอาดทำหน้าตาเหวอๆ บอกกลับมาว่า ห้องนี้ไม่มีคนหรอกค่ะ พอตกเย็นพนักงานก็รีบกลับบ้านกันหมดแล้ว ไม่มีใครกล้าทำงานตอนกลางคืนหรอก เพราะโรงแรมนี้ผีดุจะตาย ดูสิ ขนาดกลางวันแสกๆ เค้ายังไม่กล้าทำงานคนเดียวเลย ต้องขึ้นมาเป็นเพื่อนกัน 2 คน เหอๆ พอลงมาก็เจอเจ้าของโรงแรม เดินมาทักทายใหญ่เชียว ว่าเมื่อคืนหลับสบายมั้ยครับ?








โห.....ฉันนะ รีบบอกใหญ่เลยล่ะ ว่าเมื่อคืนเจออะไร...เจ้าของโรงแรมรีบบอกกลับทันที่ว่า "ที่คุณเจอน่ะ มันยังเล็กน้อย ผมเจอยิ่งกว่านี้อีก และอีกอย่าง วันนี้ผมจะทุบโรงแรมนี้ทิ้งพอดี เพราะว่าเปิดต่อไป ก็ไม่มีใครมาพักเลย เนื่องจากผมก็ยอมรับว่าโรงแรมผมผีดุจริง ๆ เมื่อคืนเป็นคืนสุดท้าย ผีเค้าเลยมาทักทายซะหน่อย" ฉัน แม่ น้อง พี่จิ้น ยืนฟังตาเหลือก....


 






เรานึก ในใจว่า "อะไรฟะ ผีดุแบบนี้กล้าให้พวกเรามานอนได้ไงฟะเนี่ย" เราถามเกี่ยวกับทีมงานคนอื่น ๆ ก็ได้ความว่า ไม่มีใครพักที่นี่เลยค่ะ (พูดง่ายๆ ว่าทั้งโรงแรมมีฉันอยู่ห้องเดียว) คือ ดาราคนอื่น เค้ารู้กันหมดแล้วว่าที่นี่ผีดุ ไม่มีใครกล้าพัก ส่วนเราเพิ่งเล่นเรื่องแรก ยังไม่รู้อะไร ไม่มีใครบอก เลยได้พักไป ซวยไป อีก 2 วันต่อมาก็มีคิวถ่ายต่อ แหม...ทีมงานถามกันใหญ่เลย ว่าเจออะไรบ้าง หึหึ สนุกกันเข้าไป นี่ละหนา ที่เค้าว่าคนในวงการบันเทิง ไม่มีมิตรแท้ และศัตรูจริง ก็ดูสิ ไม่มีใครบอกฉันสักคน.....








อันดับที่ 4 
โรงแรมเรือนไม้ ในจังหวัด สุโขทัย....




เป็นเรื่องเล่าจากคุณ เจ้าจุ่ยเอ้ย แห่งเวบพันทิปเช่นกันครับ.... 
จากประสบการณ์ที่ไปพัก ณ โรงแรมแห่งหนึ่ง!!

ช่วงที่ตะเวนเที่ยว 1 เดือนโดยขับรถไปเรื่อยๆ จากตะวันออกไล่ไปภาคกลาง และขึ้นไปสิ้นสุดที่เชียงราย-แม่ฮ่องสอน ก่อนกลับลงมาค่ะ ที่พักในแต่ละจังหวัดจะเป็นการทดลองสุ่มไปเรื่อยๆ ค่ำที่ไหนก็หาที่นอนแถวๆ นั้น..เรื่องมาเกิดที่จังหวัดสุโขทัยก่อนเป็นที่แรกค่ะ เป็นโรงแรมไม้ เรือนไทย อยู่ในอำเภอเมือง (ชื่อโรงแรมต้องกลับไปค้นจากรูปถ่ายเก่าๆค่ะ) เหตุการณ์ที่เกิดเป็นช่วงเวลาประมาณตีหนึ่งค่ะ ขอบรรยายห้องพักหน่อยนะคะ คือ ห้องเป็นเตียงไม้ใหญ่ขนาด 2 คนนอน......


ใต้เตียงโล่งปลายเตียงเยื้องไปทางซ้าย เป็นชุดเก้าอี้ (เก้าอี้สองตัว กับโต๊ะกลมเล็กๆ 1 ตัว) หันมาทางเตียง ปลายเตียงเยื้องไปทางขวา เป็นกระจก และแน่นอนว่า.. ทำจากไม้แกะฉลุลายด้วยค่ะ หลังจากเสร็จกิจกรรมต่างๆ ดูทีวี กับดูแผนที่ว่าพรุ่งนี้จะไปเส้นไหนต่อ เราก็นอนค่ะ โดยวางของไว้ในตู้เสื้อผ้า วางแผนที่ไว้ที่โต๊ะกลม แล้วก็เปิดไฟหัวเตียงเล้กๆ ไว้สองดวงค่ะ......


ประมาณตีหนึ่ง รู้สึกว่าได้ยินเสียงกุกกักแถวชุดเก้าอี้ปลายเตียงเลยตื่น แต่ยังไม่ลุก รู้สึกว่าพี่สาวขยับมานอนชิดเรามาก แล้วก็กำมือเราไว้แน่น เลยหันไปมอง อ้าปากจะถามว่าเป็นอะไร แต่.. ภาพที่เห็นทำให้ถามไม่ออกค่ะ "เห็นเงาคนสองคนนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ปลายเตียง คนนึงกำลังดูแผนที่ อีกคนกำลังมองมาที่เตียง" จำได้ว่า พูดอะไรไม่ออก ตัวแข็งทื่อ!! 


ตอนนั้นสวดมนต์บทพาหุงฉบับสั้นเป็น ก็เลยพยายามจะสวด แต่ขยับไม่ได้ค่ะ ขยับปากไม่ได้ คอตอนนั้นก็ขยับไม่ได้ค่ะ พี่สาวท่าทางจะเป็นเหมือนกัน ก็หลับตาลงแล้วพยายามสวดๆๆๆๆ ปากขยับไม่ได้เหมือนมีแรงกดไว้ สวดจบไปรอบที่สาม ปากเริ่มขยับได้ เสียงสวดจึงดังลอดออกมา พี่สาวก็เหมือนกันค่ะ แต่รายนั้นแผ่เมตตาอย่างเดียวเลย...

พอเสียงเริ่มออก จึงลืมตาขึ้นมา ปรากฎว่า.. big surprise ค่ะ คือ "ทางนั้น" เลื่อนมายืนปลายเตียง น่ากลัวมากๆๆๆๆๆๆๆๆ ไม่กล้าหลับตาอีก กลัวว่าลืมตาอีกที "ทางนั้น" จะเลื่อนมาใกล้ขึ้น พยายามสวดต่อค่ะแล้วก็แผ่เมตตาตามพี่สาว จน "ทางนั้น" ขยับเดินห่างออกไป แล้วก็ออกไปทางผนังด้านหลังชุดเก้าอี้.. ที่น่าขนลุกกว่านั้นคือ ทันทีที่ "ทางนั้น" หายไป แผนที่ซึ่งอยู่บนโต๊ะ ตกลงมาที่พื้นค่ะ.. 

ไม่ต้องนอนกันแล้วค่ะ รีบลุกขึ้นเก็บของ เดินไปเคาะประตูญาติที่อยู่อีกห้อง แล้วก็ย้ายโรงแรมเลยค่ะ กลัวมากๆ ความรู้สึกว่าอยากนอนบ้านเรือนไทยตั่งแต่นั้นเป็นต้นมา = 0 ค่ะ ตอนกลับมาจากเที่ยวล้างฟิลม์แล้วเห็นภาพ ก็นึกในใจว่า ดีนะที่เย็นวันนั้นถ่ายรูปเฉพาะป้ายโรงแรม ไม่ได้เอาตัวเองไปถ่ายรูปคู่ที่หน้าโรงแรมเหมือนปกติ.....
ไม่งั้นคง...... สยองงงงงงงง.....


อันดับที่ 3

โรงแรมรีสอร์ทบ้านไม้ ที่ เชียงราย....


เรื่องเล่าจากคุณ คนกับควาย จากเวป พันทิป.... เมื่อเขาได้ประสบพบพานผีตู้เย็นที่โรงแรมแห่งหนึ่งใน จังหวัดเชียงราย....


ลองไปอ่านกันเอาเองนะครับ ไม่น่ากลัวหรอก เชื่อผม ฮ่าๆๆๆ.....



ผมเคยเจอตอนไปเที่ยวเชียงรายครับ!! เป็นรีสอร์ทที่มีบ้านไม้เป็นหลังเดี่ยวๆแยกกันบรรยากาศร่มรื่นเต็มไปด้วยแมก ไม้นานาพรรณตกกลางคืนก็จะเปิดไปนิดๆหน่อยๆตามทางเดินและตามจุดต่างๆในสวนสวย ภายในห้องมีลักษณะดิบๆตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้และกรุผังหนังด้วยไม้เก่า แก่ มีข้าวของเครื่องใช้โบราณตกแต่งอย่างมากมายบรรยากาศอึมครึมอย่างบอกไม่ถูก.....



ตอนแรกผมอยู่หลังที่เป็นบ้านแฝดกันแล้วแฟนไม่ชอบบอกว่าแปลกๆก็ เลยขอเปลี่ยนห้อง.... ทางโรงแรมเลยบอกว่าจะเอาห้องไหนก็สามารถไปเดินๆเลือกได้เลย ก็แปลกใจอยู่ว่าทำไมห้องมันถึงว่างได้ขนาดนั้นพอตอนนอนผมก็นอนไม่ค่อยหลับ หรอกเพราะมันแปลกที่แปลกทางแต่แฟนผมนี่สิหลับปุ๋ยเลย ประมาณกลางดึกผมก็ได้ยินเสียงเปิดปิดสวิตซ์ไฟ (ป๊อกแป๊ก....ป๊อกแป๊ก....ป๊อก แป๊ก) สลับกับ เสียงคนข้างๆห้อง กุกๆกักๆ (ทั้งที่อยู่บ้านเดี่ยวนะ) และ เสียงเปิดปิดตู้เย็นภายในห้องซึ่งอยู่แค่ปลายเตียงเองผมก็เลยแอบบหรี่ตามาดู นิดๆ งานเข้าคร้าบบ!! เห็นตู้เย็นเปิดค้างอยู่ต่อหน้าต่อตา (ไฟในห้องปิดหมด มีเพียงแสงไฟของตู้เย็น) เลยผมก็แกล้งทำเป็นหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว (แต่ใจเหี่ยวไปแล้ว) แล้วมันก็ ปิด...เปิด...ปิด......เปิด


รูปบางส่วนมาจากภาพยนตร์เรื่อง ลัดดาแลนด์

ผมกะว่าผี ต้องเบื่อแล้วเลิกทำไปเอง แต่ป่าวครับ มันล่อทั้งคืนยันเช้าเลยทำให้ผมต้องนอนฟังเสียงที่ว่าตลอดคืน จนแฟนผมตื่น (สังเกตุจากพลิกตัวไปมา) เสียงก็หายไปโดนพลัน (ตู้เย็นก็ปิดสนิทดี) ผมก็เพิ่งจะกล้าขยับตัวด้วย เมื่อยยยสุดๆเลยตอนนั้น .....หลังจากนั้น ผมก็ถามเค้าว่าได้ยินมั๊ย เค้าบอกตอนสลึมสลือตอนเช้าได้ยินแป๊บนึงก็ไม่ได้สนใจแต่พอผมบอกก็สยองเชียว รีบเช็คเอาท์กันแทบไม่ทัน พนักงานยังมาถามอีกว่า "เมื่อคืนเป็นยังไงบ้างคะ สนใจค้างอีกซักคืนมั๊ยคะ"........หึหึหึ

 



อันดับที่ 2
โรงแรมแห่งหนึ่ง กลางเมือง ลำปาง....




เป็นเรื่องเล่าจากเวป www.reviewchiangmai.com/1699

ลองไปอ่านกันดู แล้วเดากันเอาเองนะครับ ว่ามันคือโรงแรมอะไร หรือถ้าใครอ่านแล้วไปเจอจะได้คุ้นๆได้ และจะได้ป้องกันได้ทันท่วงที อิอิ...
 

เหตุเกิด ณ โรงแรมแห่งหนึ่งกลางเมืองลำปาง “พี่เอาห้องนี้ไปล่ะกัน” น้องฝึกงาน ททท.เชียงใหม่ โยนกุญแจห้องพักโรงแรมให้ผม เป็นการบ่งบอกโดยนัยว่าเอาห้องพักชั้น 7 ห้อง 703 ไป ผมพักกับพี่นักข่าวอีกคน แว่บแรกสับตีนออกจากลิฟต์ พอพ้นจากลิฟต์สู่ทางเดิน สบตาแรกที่เจอห้องพักคือพิกัดมันอยู่ต้องทางโค้งของตึก พูดง่ายๆก็คือ ออกจากลิฟต์แล้วเดินมา 5 – 6 ก้าวเลี้ยวขวาเจอทางเดินไปห้องพักต่างๆ พอเดินมาซัก 3-4 ห้อง จะถึงโค้งหรือมุมตึกให้เลี้ยวซ้าย ไอ้ตรงมุมนั้นแหละห้องพักผมเอง ทางเดินตรงไปห้อง 703 (สุดทางเดินคือห้องพักผม) ตามสไตล์ ผมไม่พยายามจะคิดแมวน้ำอะไรให้มันมาก แต่ก็รู้สึกแปลกๆ ห้องอยู่เหมือนกันว่าทำไมต้องเป็นห้องนี้ เพราะดูๆไป ทำเลมันไม่ค่อยเวิร์ค.....



เก็บของ เก็บกระเป๋า ออกไปทำงานตอนเย็น กลับมาอีกที สามทุ่มกว่า อยู่ดีๆ ก่อนเข้าโรงแรมพี่โมก พี่นักข่าวอีกคนเจือกชวนผมคุยเรื่องผีขึ้นมาซะงั้น ขึ้นห้องพักกันสองคน เปิดประตูห้องอยู่ดีๆ เหรียญบาทที่ไหนไม่รู้ตกลงมา ผมถามว่าเหรียญพี่รึเปล่า แกบอกน่าจะใช่ แต่แกก็วางไว้แถวนั้นไม่ได้เอาใส่กระเป๋า (ผมคิดว่าต้องเป็นเหรียญ ที่คนมาพักก่อนหน้านี้วางเอาไว้เพื่อเป็นการซื้อห้อง ตามความเชื่อที่ว่า ถ้ามานอนพักที่ไหนต่างสถานที่ ให้วางเงินเหรียญไว้ในห้องจะบนโต๊ะ ตู้ เตียง อะไรก็ได้ เพื่อเป็นการบ่งบอกว่าเรามาขอซื้อที่เขา มาขออนุญาตนอน)จากนั้นเข้าห้องพากันนั่งคุยเรื่องผีไป 2-3 เรื่อง เสร็จ อาบน้ำอาบท่า ปิดไฟตอนห้าทุ่มเตรียมจะนอน (แต่จริงๆ ตอนนั้นยังไม่หลับ)



ผมนอนบนเตียงใหญ่ขนาดสองคนฝั่งติดหน้าต่างห้อง ส่วนพี่แกนอนเตียงเดี่ยวติดฝั่งประตูห้องน้ำ ผมนอนฟังเพลงมีหูฟังยัดหู พี่แกก็มีหูฟังยัดหูเช่นกัน แต่เพิ่มออปชั่นมีแล็ปท็อปเล่นเน็ตไปด้วย ณ จุดๆนี้ ไฟห้องปิด มีเพียงแสงไฟจากแล็ปท็อปเท่านั้นที่ส่องสว่าง ผมหลับตาฟังเพลงไปได้ซัก 15 นาที ได้ยินเสียงพี่แกเปิดประตูออกไปข้างนอก หลังจากนั้นซัก 5 นาทีค่อยกลับเข้ามาใหม่ แกตะโกนเรียกผม 3- 4 ครั้ง ผมเงยหน้าถามว่ามีอะไรพี่ แกบอกพี่เจอว่ะ ผมถามว่าเจออะไร แกบอกว่าเจอยืนอยู่ปลายเตียงผมเลย เงาสีดำๆ รูปร่างคล้ายผู้หญิงตัวสูง ผมบอกจริงหรือพี่ ผมไม่เห็นนะ (ตอนนั้นผมก็หลับตาอยู่แหละ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าถ้าลืมตาขึ้นมาจะเจอรึเปล่า)......


รูปบางส่วนมาจากภาพยนตร์เรื่อง ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ

แกยังเน้นย้ำว่าใช่ ตอนแรกที่แกออกไปข้างนอก ก็เพราะเห็น จนอุทานออกมาเสียงดัง แต่ผมเจือกไม่ได้ยิน พอแกออกไปข้างนอก ทำใจได้สติซักพัก ค่อยกลับเข้ามาอีกรอบ ส่วนผมเหรอครับ ตอนแรกก็นึกว่าพี่แกไปดูดบุหรี่ ที่ไหนได้ แมร่งเจอผี I Shipหาย! ตกลงกันเสร็จสรรพ คืนนี้ขอเปิดโคมไฟนอน พร้อมทีวี แต่ไม่เปิดไฟห้องส่วนสภาพพี่แกตอนนั้นนอนห่มผ้าหันหลังให้ฝั่งทางหน้าต่าง ที่อยู่ตรงปลายเตียง......


ผมแบบระแวง ส่วนผมก็ตาสว่างเลยล่ะครับ คือไม่กล้านอน เพราะถ้านอนแล้วรู้สึกตัวตื่นมากลางดึกแล้วมาเจอกูจะทำไงว่ะ สองคือถ้าไม่นอน แมร่งก็ต้องเฝ้าระแวงมองรอบห้องทั้งคืนว่าจะมีอะไรมั้ย ตกลงตอนนั้นผมก็เลยอยู่ในสองอาการ อีกอย่างเป็นห่วงพี่แก เกิดเจอคนเดียวแล้วช็อคตาย HA จะทำไงกันดี ห้องก็ไม่กล้าเปลี่ยนเดี๋ยวเขาว่าป๊อด ครั้นจะไปนอนกับน้องฝึกงานอีกคนมันก็ยังไงๆกันอยู่ ตกลงผมกับแกเลยต้องต่อสู้กับอะไรไม่รู้ที่มันลึกลับอยู่ในห้อง.....



เวลาผ่านไปล่วงเลยเกือบตีสอง ผมยังอยู่ในอาการหลับๆตื่นๆ จนมารู้สึกเหมือนจะโดนอะไรซักอย่างเข้าสิงร่าง (คาดว่าผีคงจะอำ) ก่อนจะร้องตะโกนออกมาดังๆ แบบหายใจไม่ค่อยออก Shipหาย! พี่แกไม่ได้ยินเสียงผมร้องเลยซักแอะ เท่านั้นไม่พอ แกก็เกิดฝันเหมือนกัน ในความฝันเล่าว่า ผมเปิดประตูห้องวิ่งออกไปข้างนอกตอนดึก เลยถัดไป 2-3 ห้อง ล้มลง พลางชี้กลับมาห้องตัวเอง ให้พี่แกดู ซึ่งพี่แกก็วิ่งตามผมออกมา ภาพที่แกเห็นคือหญิงชุดขาว ตัวสูงเสียดเพดาน หน้าดำคล้ำ ผมยาวเปียกน้ำแบบหมาดๆ ยืนหัวเราะใส่ผมกับแกสองคน อย่างสะใจ (ความฝันนี้เล่ากันตอนเช้า)




จากนั้นทั้งคืน นอกจากพี่แกเจอเงาดำๆยืนจ้องผมอยู่ปลายเตียง กับที่แกฝัน และผมฝัน ก็มีเพียงเสียงบนเพดานนิดหน่อย ประกอบเพิ่มความหลอน แต่ก็พยายามจะไม่คิดอะไรมาก รุ่งเช้าเก็บของเช็คเอาท์ออกตอนเกือบแปดโมงเช้า เปิดประตูออกมา เจอแม่บ้านโรงแรมเข้าชาร์จไปทำความสะอาดทันที แต่แรกกะจะถามว่าห้องนี้มีอะไรมั้ย ก็เลยไม่ใส่ใจ แล้วก็แล้วกันไป อย่าได้เจอกันอีก แต่ๆๆ เดี๋ยวก่อน ไอ้ผมมันคนขี้สงสัย ทำไมแม่บ้านถึงรู้ว่าพวกผมจะเช็คเอาท์ออกตอนไหน ทั้งๆที่ไม่ได้บอกล่วงหน้า และถ้าจะบอกว่ามันบังเอิญ ก็บังเอิญเกินไป ก็ห้องพักมีกันตั้ง 8 ชั้น!!เช็คเอาท์เสร็จ นั่งกินข้าวเช้าพร้อมสนทนาเรื่องเมื่อคืนกันสองคน ผมยังมีข้อสงสัยหลายประการที่ยังค้างคา......

1.ผมไม่ได้เจอด้วยตาตัวเองจริงๆ เพียงแค่มากสุดก็สัมผัสจากการลักษณะโดนผีอำ แต่การโดนผีอำมันก็มีหลักวิชาการทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถอ้างได้ ส่วนที่พี่แกเจอ ผมก็ไม่รู้จะพิสูจน์ยังไง?



2.ความไม่ชอบมาพากลหลายอย่าง ของเหตุการณ์ เช่น ความรู้สึกแรกเมื่อเห็นห้องพัก, เงินเหรียญตกตอนเปิดประตูออกมาแบบไม่รู้ว่ามันมาจากไหนแน่ชัด, แม่บ้านทำไมถึงรู้ว่าพวกผมเช็คเอาท์ออกกี่โมง?


3.ผมมาถ่ายรูปไหว้พระ 9 วัด ซึ่งตามหลักความเชื่อ ใครทำได้ก็มีบุญกุศลเยอะ และๆๆ หมายความว่า ถ้าผีสางนางไม้มาปรากฏตัวให้เห็น แสดงว่าเขามาขอส่วนบุญจากพวกผม สุดท้ายข้อสงสัยไม่ได้รับการคลี่คลาย อัตราความเชื่อสำหรับมีผมแค่ 70 เปอร์เซ็นต์ ทางออกก็เลยมาตกที่การไหว้พระทำบุญ แล้วอุทิศส่วนกุศลให้เขาไป ทำบุญไปให้แล้วหวังว่าอะไรคงจะดี ไม่มีอะไรตามมาหลอกหลอน เพราะสิ่งที่ผมไม่ต้องการคือ อย่ามาแสดงตัว อย่าตามมาด้วย อย่ามากวน ถ้ามีโอกาสทำบุญเมื่อไหร่เดี๋ยวจะทำไปให้..... บรื้อออออ.....
 

และแล้วก็มาถึงอันดับที่ 1 ของเรา


 

อันดับที่ 1 ก็คือ!!!


อันดับที่ 1
โรงแรมห้าดาวติดโรงพยาบาล ที่เชียงใหม่....


หลายคนคงจะเคยได้ยินเรื่องเล่าในเดอะช๊อค เพราะเป็นเรื่องที่ดังมาก น่ากลัวมาก เป็นโรงแรมที่มีอาณาบริเวณใกล้เคียงกับโรงพยาบาล!! 

ส่วนมันจะคือที่ไหนนะเหรอ .... ไม่บอกหรอก ฮ่าๆๆๆ....


เรื่องคือ คนเล่าไปเที่ยวช่วงปีใหม่ โรงแรมที่พักเป็นโรงแรม 5 ดาวของเชียงใหม่แล้วก็จองห้องไว้ แต่มาถึงเช้าแขกยังไม่เช็คอินห้องที่จะพักออก เลยขอเปลี่ยนห้องที่ว่างได้ห้องใหม่ที่ไม่ได้จองไว้ ซึ่งคนเล่ามากับเพื่อนทั้งหมดรวมตัวเองเป็นสามคนเพื่อนคนนึงก็เปิดหน้าต่าง ห้อง เห็นว่าหน้าต่างตรงกับดาดฟ้าโรงพยาบาลพอดี....
แล้วเพื่อนคนนี้ปกติ เป็นคนปากเร็ว เลยพูดไม่คิดว่า "โห เห็นดาดฟ้าโรงพยาบาลเลยหรอนี่ อัปมงคลสุดๆ"แต่ก็ยังไม่มีใครคิดอะไร ก็ออกไปเที่ยวกัน กลับมาเพื่อนคนเดิมก็ไปเปิดหน้าต่าง เห็นผู้หญิงอยู่บนดาดฟ้าก็เลยพูดว่า "คนบ้าอะไรว่ะ ไปนั่งอยู่คนเดียว" คนที่นั่งเป็นผู้หญิง ใส่ชุดโรงบาล คนเล่าก็คิดว่าสงสัยเค้าออกมานั่งเคาว์ดาวน์มั้ง ก็เลยออกไปเที่ยวกันตอนกลางคืน....



รูปบางส่วนมาจากภาพยนตร์เรื่อง เดอะลาสต์ซัมเมอร์

หลังเคาว์ดาวน์เสร็จกลับมา ก็นอนได้ยินเสียงเหมือนคนใช้เล็บกรีดกระจก ซึ่งมีหน้าต่างอยู่ตรงข้างเตียง และบนหัวเตียงของห้องด้วย เสียงกรีดกระจกก็ดังไล่มาจากข้างเตียงถึงหัวเตียงเลยนอกจากเสียงกรีดกระจก แล้ว เป็นเสียงร้องกรี๊ดๆ แล้วก็เสียงหัวเราะอ่ะ เพื่อนเจ้าของเรื่องเปิดม่านดูก็เห็นเป็นผู้หญิงเอาหน้ามาติดกระจก แล้วใช้นิ้วกรีดๆ กระจก หัวเราะฮะ ฮะ ฮะ.....


เห็นแบบนั้น คนเล่ากับเพื่อนเลยรีบลงมาที่ล็อบบี้ บอกพนักงานที่ฟร๊อน เค้าก็เข้าใจว่าเพราะทานแอลกอฮอล์กันรึปล่าวแต่คนเล่าก็บอกว่าไม่ได้กิน คนที่กินมีแค่เพื่อนในกลุ่มคนเดียว แต่เพื่อนเค้าอีกคนกับเค้าไม่ได้ดื่ม....ทางโรงแรมเลยจะเปลี่ยนห้องให้ แต่ต้องรอตอนเช้า เพราะแขกยังไม่เช็คเอาท์ออก คนเล่ากับเพื่อนก็ไม่กล้าขึ้นไปแล้ว นั่งรออยู่ล็อบบี้ ดื่มกาแฟไป จนถึงเช้า แขกออกก็ย้ายไปอีกห้อง ถัดจากห้องเดิมไป 4 ห้อง แต่ก็เปลี่ยนโรงแรมไม่ได้เพราะทุกที่เต็มหมด จะกลับก็ไม่ได้ เพราะจองตั๋วรถที่จะกลับ วางแผนการเดินทางไว้หมดแล้ว ก็เลยจำใจอยู่......

คืนต่อมาก็ยังเจอผู้หญิงคนนี้ คนเดิม เวลาเดิม ใช้เล็บกรีดกระจก พร้อมกรี๊ดและส่งเสียงร้องว่า กูจะฆ่าเมิงงง คนเล่ากับเพื่อนก็ลงมาที่ล็อบบี้อีกถามพนักงานฟร้อนท์ ก็ยืนยันว่าห้องที่อยู่ไม่มีเหตุการณ์อะไร คนเล่าก็ไม่กล้าขึ้นไปนอนอีก ก็เลยอยู่ที่ล็อบบี้ก็มีแม่บ้านเข้ามาถาม เจ้าของเรื่องก็เล่าที่เจอให้ฟัง ป้าเลยถามว่า อยากฟังไหม ถ้าอยากจะเล่าให้ฟัง พนักงานใหม่ไม่ค่อยรู้หรอก....






แต่ก่อนมีผู้ชายคนนึงมาสัมนาที่นี้ แล้วภรรยาก็ตามมาด้วย ภรรยาก็กำลังท้องอยู่ สามีมาที่นี้ก็แอบหนีไปเที่ยวกลางคืน ไปนอนกับเด็กงี้ ผู้หญิงก็เสียใจ มีปากเสียง จะฆ่าตัวตาย ก็กรีดข้อมือในห้องนั้นแหละ แต่ไม่สำเร็จถูกช่วยไว้ทัน ก็เอาตัวส่งโรงบาล แต่สามีก็ไม่เยี่ยมไม่สนใจก็เที่ยวเหมือนเดิม วันนึง เสียงโทรศัพท์สามีก็ดัง ภรรยาบอกว่าให้มองออกมาที่นอกหน้าต่างสิ พอผู้ชายมอง ก็เห็นภรรยาตัวเองอยู่บนดาดฟ้าถือโทรศัพท์อยู่ แล้ววิ่งโดดลงไปต่อหน้าสามีเลย ก็เสียชีวิต!!






หลังจากได้ฟังแบบนั้น เจ้าของเรื่องเลยไปทำบุญให้ผู้หญิงคนนี้ ก็จบเหตุการณ์ ไม่มีอะไรต่อ..... แต่สุดท้ายแล้วก็มีเหตุให้ได้เจอกันอีก 


หลังจากนั้นเจ้าของเรื่องได้ไปนั่งแท็กซี่ แล้วคนขับเล่าให้ฟังว่าทำบุญกับศพไร้ญาติแล้วถูกเลขมาหลายตัวเจ้าของเรื่องเลยอยาก ลองบ้าง ก็ทำตามแล้วก็ถูกจริงๆ เลยทำบุญไปให้ ปรากฏว่าดูชื่อแล้วเป็นคนเดียวกับผู้หญิงที่เจอที่เชียงใหม่คนเล่าก็ไม่เข้า ใจเหมือนกันว่า ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงเป็นศพไม่มีญาติ........
 


เป็นไงครับ สยองกันไหมล่ะ เหอๆๆๆ....


อ่านจบแล้วควรใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจนะครับ
เพราะบางทีมันอาจจะไม่ใช่เรื่องจริงก็ได้....

โดยเฉพาะในอันดับที่ 5 
เพราะชื่อเสียงเรียงนามคนเล่า เขาช่างโด่งดังสุดๆ อิอิอิ....


ก็แล้วแต่ท่านล่ะนะ ว่าจะเลือกเชื่อในส่วนไหน...ฮ่าๆ
 
วันนี้ก็ขอจบลงก่อน 
วันหน้าจะนำพาเอาเรื่องน่าสนใจมาฝากกันอีกนะจ้ะๆๆ....

ขอบคุณแหล่งที่มา
Wikipedia.org
Pantip.com
Dek-D.com

ติดตามอ่านเรื่องราวลึกลับ น่าฉงน ประวัติศาสตร์อันน่าค้นหา และ บางเรื่องราวที่ยังเป็นปริศนาไร้ซึ่งคำตอบได้ที่นี่ 
ทั้งเพจ บล๊อก และ ยูทูป!!

อัพเดทเรื่องราวต่างๆก่อนใคร : https://www.facebook.com/NopLucifer
อ่านบทความแบบละเอียด : http://nop-lucifer.blogspot.com/
ดูคลิปแบบย่อๆได้ทางยูทูป : http://www.youtube.com/c/NopLucifer999

TOP FIVE By NopLucifer : 5 อันดับการค้นพบสัตว์ประหลาดลึกลับ เรื่องจริงหรือโกหกทั้งเพ! TOP FIVE : Mystery Monsters Truth or Fiction!

ในโลกยุคปัจจุบันนี้ อะไรๆก็สะดวกยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน เพราะเรามีเทคโนโลยีหลายๆอย่างที่พัฒนา และช่วยอำนวยความสะดวกให้เราได้มากยิ่งขึ้น
 

เช่นกัน บางเรื่องราว เมื่อมีการค้นพบ หรือ เผยแพร่ มันก็มักจะมาถึงตัวเราได้อย่างรวดเร็ว แต่กระนั้นเลย บางอย่างเราก็ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วนด้วยว่า มันเป็นเรื่องจริง น่าเชื่อถือ หรือเรื่องที่กุขึ้น เพื่อหลอกลวงกัน...
 

เอาล่ะ เกริ่นอะไรเยอะแยะ พาเข้าเรื่องเลยดีกว่า ฮ่า....
 

วันนี้ผมจะพาทุกท่านไปพบกับ เรื่องราวที่ลึกลับ และ น่าสนใจ...

นั่นก็คือ!!!



5 อันดับการค้นพบสัตว์ประหลาดลึกลับ
ที่เป็นเรื่องจริง หรือ เรื่องโกหกทั้งเพ!!!





มาเริ่มต้นกันในอันดับที่....


อันดับที่ 5
No.5 De Loy's Ape ลิงยักษ์ที่เวเนซูเอล่า


 
ขอขอบคุณภาพจาก Wikipedia.org

Ameranthropoides loysi (De Loys'Ape) เป็นรูปถ่ายสัตว์ประหลาดที่รูปร่างเหมือนลิง ถูกพบโดยฟรังซัวส์ เดอ ลอยส์และคณะของเขาที่พบระหว่างทางในขณะตามหาแหล่งน้ำมันตามพื้นที่ชายแดนระหว่างโคลอมเบียและเวเนซุเอลาซึ่งส่วนมากใกล้กับเลค มาราโกโบในระหว่างปี 1917-1920 แต่ไม่ประสบผลสำเร็จเพราะต้องผจญกับโรคภัยการการต่อสู้กับชาวพื้นเมือง ส่งผลทำให้สมาชิกกลุ่มล้มตายหลายคน.....

จนกระทังในปี 1920 พวกเขาได้ตัดสินใจตั้งใกล้แม่น้ำแห่งหนึ่ง พวกเขาก็ได้เห็นสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่สองตัววิ่งเข้าหาพวกเขา ตอนแรกหลายคนคิดว่าเป็นหมี หากแต่เมื่อสังเกตดีๆ ก็พบว่าสัตว์ประหลาดดังกล่าวมีลักษณะแปลกประหลาด 

โดยชื่อว่าสองตัวดังกล่าวคือตัวเมียและตัวผู้ซึ่งพวกมันทำร้ายพวกเขา และเพื่อความปลอดภัยพวกเขาได้ยิงฆ่าสัตว์ประหลาดตัวผู้ไป ส่วนตัวเมียก็วิ่งหายเข้าไปในป่า

และเมื่อพิจารณาสัตว์ประหลาดตัวนี้ดีๆ ก็พบว่ามันเป็นสัตว์ที่หลายคนไม่เคยพบมากก่อน รูปร่างคล้ายกับลิงแมงมุม แต่มันมี ขนาดใหญ่มาก สูง 1.57 เมตร มีฟัน 32 ซี่( ลิงส่วนใหญ่บนโลกมี 36 ซี่) และไม่มีหาง ขนาดและรูปพรรณ ส่วนหน้าผาก ของพวกมัน แสดงให้เห็นว่ามันไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลยกับสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนมในอเมริกาใต้ 


จากนั้นพวกเขาก็นำซากของมันมาจัดท่าทางนั่งบนลุงและเอาไม้พยุงไว้ที่ใต้คางของมัน จากนั้นก็ถ่ายภาพเพียงภาพเดียว และก็ทิ้งซากของมันไว้อย่างนั้น ทั้งที่ควรเก็บไว้เป็นหลักฐาน....

แน่นอนว่าต่อมาภาพดังกล่าวก็เป็นที่ถกเถียงกันว่ามันคือตัวละครกันแน่ หลายคนวิจารณ์มันว่าเป็นเรื่องหลอกลวง เพียงแค่เอาซากลิงมาถ่ายภาพ ในขณะที่บางคนแย้งว่ามันอาจเป็นลิงพันธุ์ใหม่ที่ไม่มีใครรู้จักมากว่า และเชื่อว่าภาพดังกล่าวคือสัตว์ประหลาดลิงของจริงเพราะดูจากหน้าอก มือ ใบหน้า และที่สำคัญคือส่วนหน้ากากสูงกว่าลิงอื่นๆ ที่มีการค้นพบ!!




อันดับที่ 4
No.4 Yeti เยติ ลิงยักษ์หิมะแห่งทิเบต



ขอขอบคุณภาพจาก moviemorlocks.com

ในปี 2011 ได้มีการเปิดเผยว่ากระทรวงต่างประเทศของอเมริกาได้ออกฎระเบียบในปี 1950 สำหรับผู้ที่คิดเดินทางไปเทือกเขาหิมาลัยในประเทศเนปาลและทิเบตเพื่อค้นหาเยติว่า นักเดินทางทุกคนจะต้องจ่ายค่าใบอนุญาต และถ้าเห็นสัตว์จะต้องการถ่ายภาพหรือถ่ายในขณะที่มันมีชีวิตอยู่ สิ่งมีชีวิตจะต้องไม่ถูกดฆ่าหรือถูกยิง เว้นว่าจะอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉินจากการป้องกันตัวเองที่สุดในนั้น ส่วนรัฐบาลเนปาลได้จัดเยติเป็นสัตว์สงวนพันธุ์ทั้งๆ ที่ยังไม่มีมีหลักฐานการมีตัวตนของเยติข่าว ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าอเมริกาและรัฐบาลอื่นๆ ทั่วโลกเชื่อว่ามีเยติในเทือกเขาหิมาลัยตั้งแต่ปี 1950....

ประเด็นความน่าสนใจเริ่มขึ้นเมื่อเอริค ซิปตันรักไต่เขาชาวอังกฤษนักไต่เขาอังกฤษกับคณะเดินทางไปสำรวจยอดเขาเอเวอร์ เรสได้พบรอยเท้าเยติบนธารน้ำแข็ง เขาจึงประกาศว่าเมื่อก่อนเขาไม่เชื่อว่าเยติมีจริงแต่ตอนนี้เมื่อมาพบด้วยตา ของตนเอง เขาเชื่อว่ามีจริง บางทีจะเป็นสัตว์ใหญ่จำพวกลิงเอปอาศัยอยู่ตามภูเขาสูง เชื่อว่าอาศซัยอยู่ยอดเขาประมาณ 6,000 เมตร (20,000 ฟุต) เหนือระดับน้ำทะเล



ในปี 1956 ร้อยโทโปแลนด์ Sławomir Rawicz ผู้เขียนหนังสือThe Long Walk ได้อ้างว่าขณะที่เขาและพรรคพวกข้ามภูเขาหิมาลัยในปี 1940 ก็ได้พบสัตว์เดินสองเท้าสองตัวที่เชื่อว่าเป็นเยติขวางเส้นทางของพวกเขาในปี 1950 ทอม ซลิ คราชาน้ำมันจากรัฐเท็กซัส และนักผจญภัยได้เกิดความสนใจในเรื่องเยติ เขาสรุปว่าเยติมีสองชนิดคือตัวสีดำสูงประมาฯ 8 ฟุต (2.4 เมตร) และสีแดงขนาดเล็ก และเขาก็เคยเห็นเยติทั้งระยะใกล้และไกล ในปี 1959 เขาได้พบเยติในขณะไปประเทศเนปาล เขาได้เห็นไกล ปรากฏว่าสักสองสามนาที สิ่งมีชีวิตดังกล่าวสูว 5 หรือ 6 ฟุต (1.5-1.8 เมตร) มีขนสีแดง หลังจากสัตว์หายไป เขาและลูกทีมก็ค้นพบบริเวณที่มันปรากฏก็พบกองอุจจาระที่เชื่อว่าเป็นของ สัตว์ดังกล่าวที่ถ่ายออกมา.....

ไม่นานทอม ซลิคได้เก็บตัวอย่างและส่งมันไปวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการในฝรั่งเศส การวิเคราะห์พบปรสิตที่ชื่อว่า whipworm หรือพยาธิ แส้ม้า เป็นพยาธิตัวกลมชนิดหนึ่งในลำไส้มนุษย์ แต่พยาธิแส้ม้าดังกล่าวไม่สามารถจำแนกตารมวิทยาศาสตร์ได้ว่ามาจากสัตว์สาย พันธ์ใหม่ แสดงให้เห็นว่าเจ้าของอุจจาระนั้นเป็นสัตว์ลึกลับที่คนไม่รู้จัก ถ้าเรื่องดังกล่าวเป็นจริงอุจจาระนั้นเป็นหลักฐานว่าเยติมีอยู่จริงในเนปาล ปัจจุบันหลักฐานอุจจาระดังกล่าวอบู่ในพิพิธภัณฑ์นานาชาติ Cryptozoology ในพอร์ตแลนด์ รัฐเมนต์.....




นอกจากนี้ทอม ซลิค ยังให้ทุนแก่คณะนักสำรวจค้นหาเยติแต่ผลก็เหมือนกับคณะนักสำรวจอื่นๆ คณะนักสำรวจจากรัสเซีย เชคโกสโลวาเกีย และญี่ปุ่น เดินทางไปค้นหาเยติแต่ก็ไม่พบอะไรไปมากกว่าคณะนักสำรวจชุดที่แล้วๆ มา อีก ทั้งยังแอบขนชิ้นส่วนมือมัมมี่ที่เชื่อว่าเป็นของเยติกลับไปที่อังกฤษเพื่อ วิเคราะห์ด้วย อย่างไรก็ตามเขาก็ได่เสียชีวิตลงในปี 1962 จากอุบัติเหตุเครื่องบินตกในมอนแทนาเส้นทางไปแคนาดา ในขณะอายุเพียง 46 ปีเท่านั้น.....






อันดับที่ 3
No.3 Chupacabra ตัวดูดเลือดแพะ



ชูปากาบรา Chupacabra แปลว่า ตัวดูดเลือดแพะ เป็นสิ่งมีชีวิตลึกลับในตำนานชนิดหนึ่ง มีผู้ที่อ้างว่าพบเห็นมันครั้งแรกในเปอร์โตริโกในช่วงต้นทศวรรษที่ 50 และมีหลายคนรายงานว่า มันได้ฆ่าสัตว์ชนิดต่าง ๆ เช่น แพะ ด้วยการดูดเลือด เป็นจำนวนมาก และยังคงมีผู้พบเห็นมันมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน....

ปัจจุบันที่เปอร์โตริโก มีนักสำรวจท้องถิ่นได้สำรวจเรื่องราวเกี่ยวกับชูปากาบรา และพบถ้ำแห่งหนึ่งที่เชื่อว่าเป็นที่อาศัยของมัน และรอยเท้าของชูปากาบราก็มีลักษณะใหญ่คล้ายนกกระจอกเทศ....




จากการศึกษาซากสัตว์ที่เชื่อว่าตายด้วยการดูดเลือดของชูปากาบราจนหมดตัวนั้นของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พบว่า แท้จริงแล้วเลือดในตัวสัตว์เหล่านั้นยังมีอยู่ เพียงแต่ว่าถ้ามองจากภายนอกอาจดูเหมือนไม่มีเลือดเหลืออยู่ในตัวเลย เป็นเพราะเลือดในตัวสัตว์นั้นได้หยุดไหลเมื่อหัวใจหยุดเต้น และเชื่อว่า สัตว์ที่โจมตีสัตว์เหล่านี้นั้น น่าจะเป็น สุนัขป่าหรือลิงป่าอย่างไรก็ตามจากภาพสเกตช์ของผู้ที่อ้างว่าเคยพบเห็น ชูปากาบรามีรูปร่างหน้าตาหลากหลายต่างกัน แต่มีลักษณะที่ร่วมกันคือ มีหน้าตาคล้ายมนุษย์ต่างดาวที่เรียกว่า เกรย์ (Grey) แต่มีขาหลังที่ใหญ่คล้ายจิงโจ้....


ในวันที่ 21 พฤษภาคม ค.ศ. 2010 พยาบาล 2 คน ได้พาสุนัขไปเดินเล่นแถวริมทะเลสาบ ที่รัฐออนตาริโอ ประเทศแคนาดา ได้พบเห็นสัตว์ตัวหนึ่งที่มีลักษณะประหลาด คือ ร่างกายเต็มไปด้วยขน แต่หัวล้านเลี่ยน หน้าตาน่ากลัว ลำตัวยาว ขายาว มีหางคล้ายหนู ซึ่งไม่มีใครบอกได้ว่า คือสัตว์อะไร มีผู้เชื่อว่าคือ ชูปากาบรา


แต่ที่น่าสนใจและเป็นข่าวดังไปทั่วโลกคือ คลิปวีดีโอคลิปหนึ่งที่เผยแพร่มาจากรัฐเทกซัส โดยมีเกษตรกรรายนึงอ้างว่า พวกเขาไล่จับ ชูปราคาบราในเม็กซิโก (ดูคลิปได้จากคลิปด้านบน)

มันวิ่งเร็วมากๆ จนคนดูคลิปนี้มองแทบไม่ทัน แต่เห็นคร่าวๆ คือมันเหมือนหมาสีเทา ก่อนที่ภาพจะจบลงเมื่อพวกเขายิงมัน จนเป็นศพ และฝังมันไว้ในที่ดินที่บ้านของเขา โดยเจ้าตัวที่เชื่อว่าเป็นชูปากาบรานั้นได้ฆ่าไก่ของเขาไปแล้วถึง 3 หน ซึ่งเจ้าสัตว์ตัวนี้มีรูปร่างแปลกมาก คือ ตัวเป็นสีฟ้าปนสีเทาและไม่มีขน คลิปถูกโพสลงในอินเตอร์เน็ต จนโด่งดัง และวีดีโอนี้ก็ถูกแพร่ภาพที่ CNN และสถานีข่าวชื่อดังอื่นๆ....



แต่ภายหลังจากที่มีคนที่ดูคลิปนี้และดูรูปศพมัน ก็เกิดข้อโต้แย้งตามมามากมาย เพราะดูยังไงก็ไม่ใช่ ชูปราคาบรา มันเหมือนวีดีโอเทศบาลไล่จับหมามากกว่า แถมจากการพิสูจน์ของนักวิทยาศาสตร์จากกะโหลกและตรวจดีเอ็นเอของสัตว์ชนิดนี้แล้วนั้น พบว่า เป็นเพียงสุนัขไคโยตี้ที่เป็นขี้เรื้อนเท่านั้น.....กำเวงงงงง....เห้อออออ


อันดับที่ 2
No.2 The SewerCam อสูรกายในท่อน้ำทิ้ง



ความลึกลับขยะแขยงนี้ถูกนำมาลงโพสในอินเตอร์เน็ตอย่างน่าสะพรึง (ดูคลิปได้จากคลิปด้านบน) โดยเจ้าของภาพอ้างว่าเขาได้ถ่ายวีดีโออสูรกายลึกลับที่ตั้งชื่อกิ๊บเก๋ว่า The SewerCam รูปร่างเหมือนก้อนเนื้อขนาดยักษ์ น่าขยะแขยง ผิวลื่นๆ คล้ายปลาไหล มันเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ เต้นเป็นจังหวะ เมื่อพบเห็นคน มันก็จะคลานหนีอย่างๆ โดยมันอาศัยอยู่ในท่อระบายน้ำเสียของเมือง Raleigh รัฐ North Carolina มันสามารถไต่เพดาน และในไม่ช้ามันจะขึ้นบก เพื่อครองโลก ห้ะ!!

เบื้องหลังความจริงคือ........สงสัยท่อระบายน้ำอเมริกานี้สกปรกมากๆ เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตที่หลากหลายและน่าขยะแขยง ไม่ว่าจะเป็น หนู, แมงสาป และสัตว์ประหลาด มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่ามันไม่ใช่สัตว์ประหลาดและไม่ใช้สัตว์ลึกลับ แต่มันคือ "ไส้เดือนน้ำ(Tubifex)"




ไส้เดือนน้ำนี้ สามารถพบได้ตามแหล่งน้ำเน่า ในไทยก็มีเอาไว้เลี้ยงปลา แต่ที่เห็นอยู่กันเป็นก้อนๆ เนื่องจากในท่อระบายน้ำไม่มีน้ำมาก ไม่มีดินหรือตะกอนให้มันเกาะ มันเลยไหลไปๆ รวมตัวกัน มันจะสร้างรังหรือถุงน้ำครอบตัวมันไว้เป็นก้อนๆ ถ้าอยู่ในที่น้ำเยอะๆ คงไม่จำเป็นต้องสร้างถุงแบบนั้น แล้วที่เป็นมันขยับเพราะว่าถ้ามีไส้เดือนตัวใดตัวหนึ่งขยับตัวอื่นก็ขยับตามไปด้วย



และไม่ต้องกังวลที่มันจะครองโลกหรอกนะ หนอนพวกนี้กินแต่ซากและของเน่าเหม็นเท่านั้น สบายใจได้ เรายังเป็นเจ้าโลกต่อไปอีกนานแสนนานเลยทีเดียว อิอิ.........


และแล้วก็มาถึง อันดับที่ 1 ของเรา นั่นก็คือ!!

 



อันดับที่ 1
No.1 Cerro Azul Monster



มันคือสิ่งมีชีวิตในปานามาเป็นซากศพประหลาดที่ถูกถ่ายในเมือง Cerro Azul ในประเทศปานามาเมื่อเดือนกันยายน 2009 และถูกเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต โดยเนื้อหาเล่าว่าวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งสี่หรือห้าคนอายุระหว่าง 14 และ 16 กำลังเดินเล่นเที่ยวริมน้ำและได้เห็นสิ่งมีชีวิตตัวหนึ่งออกมาจากถ้ำรูปร่างมันมีขนและมีฟันคม แขนยาว น่าเกลียดน่ากลัว และกลุ่มวัยรุ่นยังอ้างว่ามันพุ่งมาหาพวกเขา!!

ด้วยความกลัวพวกเขาจึงตอบโต้ด้วยการปาหินใส่มันจนตาย และพวกเขาโยนร่างของสัตว์ดังกล่าวลงสระน้ำ ก่อนที่เวลาต่อมาพวกเขาก็กลับมายังพื้นที่ดังกล่าวอีกครั้งเพื่อถ่ายภาพ โดยภาพดังกล่าวเป็นสิ่งมีชีวิตรูปร่างขาวเผือกไม่มีขน มีหน้าตาแปลกประหลาด และแขนและขายาวผิดปกติ และท้องโป่งพอง.....



จากนั้นพวกเขาก็ส่งภาพซากดังกล่าวไปยังสถานีโทรทัศน์ปานามาและเรื่องราวก็ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก และอินเตอร์เน็ต เช่นเว็บ cryptozoology  แน่นอนก็ข้อสันนิษฐานแตกต่างกันไปบ้างก็ว่าเป็นสลอธไม่มีขน หรือไม่ก็มนุษย์ต่างดาว หรือสัตว์พันธุ์ใหม่ที่ยังไม่มีการค้นพบที่ไหนมาก่อน

อย่างไรก็ตามศพสิ่งมีชีวิตดังกล่าวได้ถูกกู้คืนสี่วันหลังจากค้นพบและมรการตรวจชิ้นเนื้อโดยหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมแห่งชาติของปานามา ก่อนที่จะสรุปว่ามันคือสลอธน้ำตาล  สายพันธุ์ที่พบทั่วไปในพื้นที่ดังกล่าว และเด็กไม่เข้าใจ (หรือสับสน) จนเกิดความเข้าใจผิดดังกล่าว สาเหตุที่มันรูปร่างดังกล่าวเพราะการเน่าสลายเนื่องจากอยู่ในน้ำนานเท่านั้นเอง.....

 
และทั้งหมด ก็ยังเป็นสิ่งที่เราหลายๆคนเลือกที่จะเชื่อ ว่ามันเป็นเรื่องจริง หรือ นิยายหลอกลวง ทำขึ้นมาให้เราหลงเชื่อ....


ก็แล้วแต่ท่านล่ะนะ ว่าจะเลือกเชื่อในส่วนไหน...ฮ่าๆ
 
วันนี้ก็ขอจบลงก่อน 
วันหน้าจะนำพาเอาเรื่องน่าสนใจมาฝากกันอีกนะจ้ะๆๆ....

ขอบคุณแหล่งที่มา
Wikipedia.org
Pantip.com
Dek-D.com
Listverse.com

ติดตามอ่านเรื่องราวลึกลับ น่าฉงน ประวัติศาสตร์อันน่าค้นหา และ บางเรื่องราวที่ยังเป็นปริศนาไร้ซึ่งคำตอบได้ที่นี่ 
ทั้งเพจ บล๊อก และ ยูทูป!!

อัพเดทเรื่องราวต่างๆก่อนใคร : https://www.facebook.com/NopLucifer
อ่านบทความแบบละเอียด : http://nop-lucifer.blogspot.com/
ดูคลิปแบบย่อๆได้ทางยูทูป : http://www.youtube.com/c/NopLucifer999


ย้อนรอยมรณะ!!...10 เหตุการณ์โศกนาฎกรรมสุดสยองที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ตอนที่ 4 ตอนจบ (TopTen Thailand 's Most Shocking Events Tragedies!! Pt.4 End)

ในที่สุดก็มาถึงสองอันดับสุดท้ายกันแล้วนะครับ....



มาดูกันต่อในอันดับที่.....



อันดับที่ 2
บึ้มสนั่น...ตายหมู่สยอง!! รถบรรทุกแก๊ประเบิดที่ทุ่งมะพร้าว!!



เมื่อเวลาประมาณ 15.30 น. ของวันที่ 15 กุมภาพัน์ พ.ศ. 2534 รถบรรทุกพ่วงขนาด 18 ล้อของบริษัท ฟักทองผล จำกัด ได้บรรทุกระเบิดชนิดไดนาไมค์ พร้อมด้วยชนวนและเชื้อปะทุจำนวน 1,025,000 ชิ้น คิดเป็นน้ำหนักประมาณ 20 ตัน เดินทางออกจากท่าเรือน้ำลึกจังหวัดภูเก็ตเพื่อที่จะนำไประเบิดหินยังปลายทางที่จังหวัดสระบุรี 


ทันที่รถบรรทุกพ่วง 18 ล้อวิ่งไปตามถนนเพชรเกษมจนถึงหลักกิโลเมตรที่ 40-41 บริเวณสามแยกบ้านทุ่งมะพร้าว บริเวณสถานีอนามัยทุ่งมะพร้าว อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา ได้เกิดอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำขวางถนนทำให้ระเบิด ชนวน และเชื้อปะทุ หล่นกระจายเกลื่อนพื้นถนน


ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงเดียวกับวันออกเที่ยวของชาวบ้านในเทศกาลตรุษจีน บนถนนจึงมีประชาชนต่างพากันสัญจรไปมาเป็นจำนวนมาก และบรรดาไทยมุงบางส่วนยังได้พากันมามุงดูเหตุการณ์ดังกล่าวด้วยความอยากรู้อยากเห็น 



รวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกหลายนายที่มาคอยอำนวยความสะดวกในการจราจรที่ติดขัดอย่างหนัก โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สภ.อ.ท้ายเหมือง จำนวน 5 นาย ได้เดินทางมาตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ พร้อมทั้งยังมีไทยมุง จีนมุง และแขกมุงอีกเป็นจำนวนนับร้อยคนที่อยู่ในบริเวณนั้น.....

 

ทั้งยังมีชาวบ้านบางส่วนเข้าใจว่าแก็ปเป็นเชื้อระเบิดสามารถนำไปใช้ระเบิดปลาได้จึงพากันมาหยิบเอาระเบิดไป และไม่สนใจคำเตือนของเจ้าหน้าที่ที่กำลังตะโกนบอกว่า อย่าเอาไปๆ แต่อย่างใด โดยไม่รู้เลยว่า อุบัติเหตุครั้งใหญ่กว่ากำลังจะเกิดขึ้นตามมา... 




ขณะนั้นเองก็ยังมีรถโดยสารประจำทางได้ผ่านเข้ามาในบริเวณที่เกิดอุบัติเหตุ และเนื่องด้วยสภาพการจราจรที่ติดขัดจึงทำให้คนขับหยุดรถโดยสาร และผู้โดยสารบางส่วนก็พากันลงจากรถไปยืนดูเหตุการณ์กันจำนวนมากอีกด้วย....

 



ผ่านไปประมาณ 2 ชั่วโมงในขณะที่ไทยมุงยังคงมุงดูเหตุการณ์ สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดก็ได้เกิดขึ้น เมื่อเวลาประมาณ 17.15 น. ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังตรวจหาสาเหตุอยู่นั้นแก๊ปก็ได้เกิดระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง เสียงดังสนั่นหวั่นไหวได้ยินไปไกลถึง 30 กิโลเมตร เปลวไฟแดงฉานพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า รัศมีของการระเบิดแผ่ขยายไปไกลถึง 250 เมตร!!


 

สิ้นเสียงระเบิดประชาชนที่อยู่บริเวณนั้นจึงเสียชีวิตทันทีนับร้อยคน รวมถึงชาวบ้านที่นั่งอยู่ในรถบัสสายภูเก็ต-กรุงเทพฯ และรถยนต์สองแถวโดยสารสายท้ายเหมือง-ตะกั่วป่า ที่จอดติดอยู่บริเวณนั้นต่างเสียชีวิตทั้งหมด บ้านที่พักอาศัยในบริเวณดังกล่าวถูกแรงระเบิดพังเสียหายกว่า 50 หลัง เกิดเปลวเพลิงลุกไหม้เป็นบริเวณกว้าง ผู้ที่พักอาศัยอยู่ในบ้านต่างพากันเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก ต้นไม้ บ้านเรือน สองข้างทางพังพินาศ พื้นที่โดยรอบถูกความร้อนเผาผลาญไหม้เกรียมเป็นบริเวณกว้าง เศษผ้าและเศษเนื้อคนห้อยรุ่งริ่งติดอยู่ตามกิ่งไม้ เหมือนมีคนเอาเนื้อแดดเดียวมาตากห้อยผึ่งไว้ไม่มีผิด ส่งกลิ่นเหม็นคาวคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ…




ภายหลังเกิดเหตุระเบิด ผู้ว่าราชการจังหวัดพังงาในขณะนั้น พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ทหารจากกองทัพภาคที่ 4 เจ้าหน้าที่จากฐานทัพเรือพังงา และเจ้าหน้าที่ตำรวจจากทุกกองกำกับการ เจ้าหน้าที่มูลนิธิต่างๆ ได้ระดมช่วยเหลือผู้บาดเจ็บจำนวน 123 ราย นำส่งยังโรงพยาบาล และได้ช่วยกันดับเพลิงที่กำลังโหมลุกไหม้บ้านเรือนประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการระเบิดในครั้งนี้....  





ขณะนั้นเองก่อนหน้าที่จะมีเหตุการณ์ระเบิด ได้มีการถ่ายทอดมวยชิงแชมป์โลก มีนักชกไทยป้องกันแชมป์โลกคือ สด จิตลดา ถ่ายทอดโทรทัศน์ทางช่อง 7 เวลา ประมาณ 5 โมงเย็น ถ้าไม่มีมวยต่อย อาจจะมีคนตายมากว่านี้ เพราะคนจะต้องไปดูรถคว่ำกันเยอะกว่าเดิม


 


มีนายทหารเล่าให้ฟังว่า "แก๊ประเบิดนี่ ส่งมาจากประเทศอินเดีย ของบริษัท แม็คเคมซับพลาย จำกัด โดยขนส่งทางเรือ แล้วจากนั้นก็ขนขึ้นรถบรรทุกของบริษัท ฟักทองผล จำกัด มีสำนักงานอยู่ที่ จังหวัดภูเก็ต....  

โดยขนวัตถุระเบิดจากท่าเรือน้ำลึกภูเก็ต ลำเลียงไปใช้งาน ที่จังหวัดสระบุรี เพื่อนำไปใช้ระเบิดหิน โดยระเบิดที่ว่านี้ลักษณะจะเหมือนกับลูกปะทัด แต่ออกสีเขียวแทนที่จะเป็นสีแดงเหมือนกับปะทัด ที่ปลายอีกด้านหนึ่งจะมีสายชนวนยื่นออกมา โดยตัวของมันเองอานุภาพไม่ค่อยร้ายแรงเท่าไหร่ ความแรงก็เหมือนกับประทัด วิธีใช้ ก็จะเอาแก๊ปไปสอดใส่ ในไดนาไมท์ ที่เป็นแท่งเท่าซิก้า ที่เราเคยเห็นในหนัง หรือเอาไปสอดใส่ในเพาเวอร์เจล ถ้าจะระเบิดตรงไหนก็เอาแท่งไดนาไมท์ ไปวางไว้ แล้วก็ จุดชนวน แก๊ปก็จะไปจุดระเบิดของ ไดนาไมท์ อานุภาพการระเบิดก็จะรุนแรง มีอำนาจการทำลายล้างที่เพิ่มมากขึ้น”


สาเหตุของการระเบิดเกิดขึ้นถึง 3 ประเด็น แต่ประเด็นที่เป็นไปได้มากที่สุด คือ ต้องมีคนเอาไฟไปจุดแก๊ประเบิด ส่วนสาเหตุที่ว่าสัญญาณวิทยุสื่อสาร ไปเป็นจุดระเบิดก็มีความเป็นไปได้ และอีกสาเหตุก็คือ เกิดจากแรงเสียดสี ของแก๊ประเบิดนั่นเอง


ต่อมา พลเอกชาติชาย ชุณหวัน นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยรัฐมนตรีหลายคน ลงพื้นที่มาดูเหตุการณ์ โดยคณะทั้งหมด เดินเข้าพื้นที่จุดระเบิด ที่ยังมีศพห่อด้วยผ้าขาวเรียงราย และไปเยี่ยมบ้านเรือนที่อยู่ใกล้ พร้อมให้สัมภาษณ์ ว่าจะให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยทุกคน เย็นวันนั้นนายกชาติชาย ก็เดินทางกลับกรุงเทพฯ....

รุ่งขึ้นวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2534 ญาติผู้สูญเสียชีวิตได้นำศพไปเผาที่เมรุวัดประชุมศึกษา ที่อยู่ห่างจากจุดที่เกิดเหตุไปประมาณ 400 เมตร แต่จำนวนศพถึง 203 ศพ เมรุเล็ก ๆ ไม่สามารถเผาได้ทัน ทางการจึงจัดให้มีเมรุชั่วคราวเผาศพรวม โดยใช้บริเวณสนามกีฬาบาสเก็ตบอล ของวัดประชุมศึกษา เป็นบริเวณเผาศพ ที่มีการเผารวมมากที่สุด วันนั้น มีแต่ความเศร้าโศก เพราะบางคนสูญเสียหมดทั้งครอบครัว บางคนพ่อแม่ตายหมด ต้องอยู่คนเดียว....



วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2534 
นับว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณของชาวบ้านทุ่งมะพร้าว 
ที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามฯ มกุฎราชกุมาร 
เสด็จพระราชดำเนิน พระราชทานสิ่งของแก่ญาติผู้เสียชีวิต 
และทรงเยี่ยมราษฎรที่มาเข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิด 

การเสด็จมาครั้งนี้เพื่อเป็นการปลอบขวัญแก่ผู้สูญเสีย นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณ ล้นเกล้าล้นกระหม่อม ที่ทรงห่วงใยพสกนิกรของพระองค์.....


การสูญเสียครั้งนี้ ทำให้เกิดถนนสายเลี่ยงเมืองเกิดขึ้น รถบรรทุกหรือรถที่จะเป็นอันตรายไม่ต้องแล่นผ่านบ้านทุ่งมะพร้าวอีกนอกจาก รถโดยสารประจำทางเท่านั้นที่ยังคงใช้เส้นทางเดิม นอกจากนี้ชาวบ้านได้ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจาก บริษัท แม็คเคมซับพลาย จำกัด และได้รับค่าเสียหาย โดยศาลสั่งให้บริษัทชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมด....


จากเหตุการณ์นี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 207 ราย
 บาดเจ็บ 525 คน ซึ่งอุบัติเหตุนี้
นอกจากจะนำความเสียหายครั้งยิ่งใหญ่
มาสู่ผู้คนในชุมชนนั้นแล้ว 
ยังเปลี่ยนวิถีชุมชนทุ่งมะพร้าว
จากชุมชนที่คึกคักและรุ่งเรือง 
กลายเป็นชุมชนที่ซบเซามาจนถึงทุกวันนี้!!




และก็มาถึงอันดับที่ 1 ของเรา....


อันดับที่ 1 นั่นก็คือ!!





อันดับที่ 1
ดิ่งมฤตยู!!...เลาด้าแอร์ ระเบิดกลางเวหาก่อนพุ่งโหม่งโลก!!


วันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2534 เวลาประมาณ 23:10 น. ตามเวลาท้องถิ่น เที่ยวบิน NG004 ซึ่งบินมาจากท่าอากาศยานไคตั๊กที่ฮ่องกง ด้วยเครื่องบิน Boeing B-767-3Z9ER ทะเบียน OE-LAV ชื่อเครื่องบิน โวล์ฟกัง อะมาเดอุส โมซาร์ท ได้ออกจากท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง มุ่งสู่ท่าอากาศยานนานาชาติเวียนนา มีผู้โดยสาร 213 คน และลูกเรือ 10 คน ภายใต้การควบคุมของกัปตันชาวอเมริกัน Thomas J. Welch และผู้ช่วยชาวออสเตรีย Josef Thurner 


เวลา 23:22 Welch และ Thurner ได้รับสัญญาณภาพเตือนว่ามีความผิดพลาดทางระบบที่อาจทำให้ระบบผันกลับแรงขับ (Thrust Reverser) ที่เครื่องยนต์หมายเลข 1 ทำงานขณะบิน หลังจากได้ศึกษาคู่มือแล้ว ทั้งสองลงความเห็นว่าสัญญาณเตือนนั้นเป็นเพียงเหตุการณ์ปกติและไม่ได้จัดการใด ๆ กับสัญญาณเตือน

ต่อมาเวลาประมาณ 23:31 ระบบผลักดันแรงขับที่เครื่องยนต์หมายเลข 1 ทำงานระหว่างที่เครื่องบินอยู่เหนือพื้นที่ป่าและภูเขาบริเวณรอยต่อระหว่างจังหวัดอุทัยธานีและจังหวัดสุพรรณบุรี คำพูดสุดท้ายของ Thurner ที่บันทึกไว้ได้คือ "Oh! Reverser's deployed!"


เครื่อง 767 สูญเสียแรงยกและฉีกออกเป็นส่วน ๆ กลางอากาศที่ระดับความสูง 1,200 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล เมื่อเวลา 23.20 น. ก่อนที่เครื่องบินจะระเบิดและทิ้งดิ่งลงมาจากกลางอากาศ ลงสู่พื้นเบื้องล่างโดยทันที เสียงเครื่องบินระเบิดและพุ่งโหม่งโลกดังสนั่นหวั่นไหว จนชาวบ้านในบริเวณนั้นได้ยินเสียงอย่างชัดเจน ซากเครื่องบินถูกพบที่ระดับความสูง 600 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ในบริเวณซึ่งปัจจุบันเป็นอุทยานแห่งชาติพุเตย จังหวัดสุพรรณบุรี....





เหตุการณ์ในครั้งนี้ไม่มีผู้โดยสารและลูกเรือคนใดรอดชีวิต ในจำนวนนี้เป็นคนไทย 39 คน ชาวต่างชาติ 184 คน อุบัติเหตุครั้งนี้เป็นหายนะทางการเดินทางทางอากาศที่รุนแรงที่สุดที่เกิดขึ้นในประเทศไทยจวบจนถึงปัจจุบัน ทีมกู้ภัยพบร่างของ Welch กัปตัน ยังคงติดอยู่กับที่นั่งของนักบิน หลังอุบัติเหตุก็ได้เกิดเรื่องอื้อฉาวที่ยังคงเป็นตราปาปมาจนถึงปัจจุบันนี้ก็คือ ได้มีผู้ไม่ประสงค์ดีแอบเข้ามาขโมยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และอัญมณีของผู้เสียชีวิตไปหลายรายการ...





เมื่อสายการบิน LAUDA AIR ได้รับทราบข่าวการตกของเครื่อง BOEING 767 เที่ยวบิน NG004 จึงส่งตัวแทนของบริษัทกับทีมวิศวกรการบินที่จะมาร่วมวิเคราะห์สาเหตุการตก รวมถึงเจ้าหน้าที่จากกรมการขนส่งออสเตรีย และเจ้าหน้าที่จากองค์กรการบินนานาชาติ (N.T.S.B.) สมาพันธ์การบินสหรัฐฯ (F.A.A.) ต่างก็ทยอยเดินทางเข้าสู่พื้นที่ในอำเภอด่านช้างทันทีรวมทั้ง นิกิ เลาดา เจ้าของสายการบิน ได้เดินทางมาอำนวยการค้นหาร่างของผู้เสียชีวิตด้วยตัวเอง




ส่วนหน่วยกู้ภัยของมูลนิธิต่างๆ ที่ไปถึงที่เกิดเหตุเพื่อค้นหาผู้รอดชีวิต กลับต้องผิดหวังเนื่องจากไม่พบผู้โดยสารบนเครื่องแม้แต่เพียงคนเดียวที่อาจรอดชีวิตแต่กลับพบกับศพของผู้เคราะห์ร้าย กระจัดกระจายเกลื่อนไปทั่วทั้งบริเวณหุบเขาพุเตย หลังจากทำการลำเลียงศพทั้งหมดออกจากที่เกิดเหตุแล้ว ก็มีเหตุการณ์ที่น่าเศร้าสลดยิ่งขึ้นไปอีก คือสามารถทำการพิสูจน์ทราบศพของผู้โดยสารได้เพียงแค่ 72 ศพจากจำนวนทั้งหมด 223 คน (ผู้โดยสาร 213 คน นักบิน 2 คน ลูกเรือ (พนักงานต้อนรับ) 8 คน.... 

เจ้าหน้าที่นิรภัยการบินหลายหน่วยงานที่เข้าไปตรวจสอบพบชิ้นส่วนหลายชิ้นของ BOEING 767 มีร่องรอยการถูกไฟไหม้และจากการวิเคาระห์ก็พบว่า รอยไหม้เกิดขึ้นบนอากาศก่อนที่เครื่องจะตกลงสู่พื้นดิน แสดงให้เห็นว่าเกิดจากการฉีกขาดของปีกที่มีน้ำมันบรรจุอยู่แล้วสาดกระจายมาโดนเครื่องยนต์ที่กำลังทำงาน จึงเกิดการลุกไหม้อย่างรุนแรง ประจักษ์พยานสำคัญคือชาวบ้านในหมู่บ้านพุเตยให้การว่า พวกเขาเห็นเครื่องบินระเบิดหรือไม่อย่างน้อยก็เกิดไฟไหม้กลางอากาศก่อนจะตกสู่พื้น 


คณะกรรมการสอบสวนกรณีอันเกี่ยวกับอุบัติเหตุของอากาศยานในราชอาณาจักรไทยได้ลงความเห็นว่าสาเหตุคาดว่าเกิดจาก Thrust Reverser ของเครื่องยนต์ซ้ายได้กางออกในอากาศ โดยนักบินไม่ได้บังคับให้กางเป็นผลให้เครื่องสูญเสียแรงการบังคับ ซึ่งไม่สามารถพิสูจน์ได้แน่ชัดถึงสาเหตุ ที่ทำให้ Thrust Reverser กางออกเองได้ การเปลี่ยนแปลงการออกแบบระบบ Thrust Reverser หลังจากเกิดอุบัติเหตุ NTBS ได้ออกข้อเสนอแนะเร่งด่วนหลังเกิดอุบัติเหตุ 1 เดือนเศษให้บริษัทผู้ผลิตที่เกี่ยวข้อง.....


มีการแข้ไขปรับปรุงระบบ Thrust Reverser ใหม่ และ FAA ได้มีหนังสือชี้แจ้งเมื่อ 11 กันยายน 1991 (4 เดือนหลังเกิดอุบัติเหตุ) ว่าได้ตั้งคณะเฉพาะกิจอันประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ ภาครัฐและภาคอุตสาหกรรมการบิน เพื่อพิจารณาทบทวนปรัชญาในการออกแบบอากาศยานและการออกใบอนุญาตสมควรเดินอากาศสำหรับเครื่องบินโดยสารที่ใช้ระบบ Thrust Reverser ใหม่ทั้งหมดโดยกำหนดให้กางออกได้เมื่อเครื่องบินอยู่บนพื้นทางวิ่งเท่านั้น และให้มีการออกแบบที่มีความปลอดภัยและสามารถป้องกันการกางออกเองในอากาศได้ด้วย.....


จากนั้นการทดสอบและประเมินผลทางวิศวกรรม อากาศยานใหม่ได้เริ่มขึ้น สำหรับเครื่องบิน BOEING 767 ที่ใช้เครื่องยนต์ Pratt & Whitney PW4000 ได้ปรับปรุงระบบ Thrust Reverser ใหม่ทั้งหมด โดยแก้ไขการขัดข้องหลายจุดที่มีโอกาสจะส่งผลให้เกิด Thrust Reverser กางออกเองได้ในอากาศ และผ่านการรับรองจาก FAA แล้วเสร็จทั้งหมดในเดือนกุมภาพันธ์ 1998....

นอกจากนั้น FAA ยังได้ทบทวนมาตรฐานในการออกแบบเครื่องบันทึกข้อมูลทางการบิน (DFDR) ใหม่ให้สามารถทนความร้อนสูงได้นาน เพื่อเก็บรักษาข้อมูลการบินไม่ให้ถูกทำลาย อันเป็นประโยชน์ต่อการสอบสวนหาสาเหตุของอากาศยานอุบัติเหตุต่อไป 


 






ผู้เสียชีวิต มากที่สุด เชื้อชาติ ออสเตรีย ฮ่องกง และ ไทย ก่อนหน้าจะลงจอดที่ดอนเมือง ได้นำผู้โดยสารจากฮ่องกงมาก่อน จึงมีผู้โดยสารชาวฮ่องกงเป็นจำนวนมาก











บุคคลสำคัญที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนี้ 





- นาย Clemens August Andreae ศาสตราจารย์เศรษฐศาสตร์ออสเตรีย นำกลุ่มนักศึกษาจาก มหาวิทยาลัยอินส์บรุทัวร์ ตะวันออกไกลและได้จบชีวิตพร้อมกันไปกับเที่ยวบิน





- นาย Donald McIntosh สมาชิกอาวุโสสหประชาชาติ ต่อต้าน ยาเสพติด (โดยมีการตีข่าวมีมีคนลอบวางระเบิดเครื่องบินเพื่อจะฆ่าเขา) 



- นายไพรัตน์ เดชะรินทร์ ผู้ว่าราชการเชียงใหม่ และภริยา


- หม่อมศรีนวล ณ เชียงใหม่


- นายวินิจ วินิจฉัยภาค รองราชเลขาธิการสำนักพระราชวัง
 




- เจ้าพงศ์แก้ว ณ ลำพูน เป็นผู้บุกเบิกกิจการผ้าไหมในภาคเหนือ และถวายการดูแลผ้าไหมในฉลองพระองค์ และอีกหลายท่านที่ไม่ได้กล่าวถึง.......... 








เพื่อร่วมลำรึกถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น
สุสานเลาด้าแอร์ และซากเครื่องบินตก 
ยังอยู่ที่อุทยานแห่งชาติพุเตย 
จวบจนปัจจุบัน....





ส่วนใครที่ยังคิดไม่ออก ว่าเลาด้าชื่อนี้คุ้นๆหู 
ชื่อเต็มๆของเค้าคือ "นิกิ เลาด้า"
ในอดีตเค้าเคยเป็นนักแข่งรถ F1 อันดับต้นๆของโลก 
โดยเคยนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด  
นั่นคือเรื่อง "RUSH" นั่นเอง... 






จบลงแล้วจ้า....
หวังว่าทุกท่านคงจะได้ความรู้
ไปเพิ่มเติมอีกมากมายเลยทีเดียว...

ขอบพระคุณที่ติดตามอ่านจนจบนะจ้ะ....

ยังไงถ้าชื่นชอบก็ช่วยแชร์ 
และกดติดตามกันเอาไว้ 
ทั้งเฟซบุ๊ค และ ยูทูปด้วยเน้อจ้า....

ไว้พบกันบทความหน้า 
รับรองเนื้อหาแน่น สนุกเหมือนเดิมจ้า.... 

BYE.....
 
แหล่งที่มา

Wikipedia
Pantip.com
Dek-D.com
Postjung.com