Light Yagami - Death Note

บันทึกลึกลับ!!....ตอน : พบกับ 10 อันดับบุคคลที่ลึกลับที่สุดของโลก ตอนที่ 2 ตอนจบ (Top Ten Mysterious People Pt.2 End)

มาต่อกันใน 5 อันดับที่เหลือกันต่อเลยจ้า....



อันดับที่ 5
ดี บี คูเปอร์ (D. B. Cooper)



ขอบคุณภาพจาก lehighvalleylive.com

ดี บี คูเปอร์ คือนามแฝงของสลัดอากาศที่ทำการบุกยึดเครื่องบินโบอิ้ง 727 และผู้โดยสารทั้งหมดเอาไว้เป็นตัวประกัน ขณะที่กำลังบินอยู่เหนือน่านน้ำแปซิฟิกทางตะวันออกเฉียงเหนือ ในวันที่ 24 เดือนพฤศจิกายน ปีค.ศ.1971 เพื่อแลกเปลี่ยนกับเงินสด 200,000 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมกับร่มชูชีพ และในขณะนั้นเองที่เขาได้สั่งให้กัปตันนำเครื่องลงจอดยังสนามบินใกล้เคียง....


ขอบคุณภาพจาก seattlepi.com

ซึ่งหลังจากที่ได้สิ่งของตามที่ต้องการแล้วเขาจึงสั่งให้กัปตันนำเครื่องบินขึ้นไป จากนั้นในขณะที่เครื่องบินอยู่ในระดับความสูง 10,000 ฟุต เขาก็ได้กระทำบ้าบิ่นสุดขีด โดยเขาได้กระโดดร่มลงไป และหายตัวไปอย่างเป็นปริศนา!!!


ขอบคุณภาพจาก nymag.com

จนกระทั่งในปีค.ศ. 1980 มีเด็กชายพบเงินสดกว่า 5,800 ดอลลาร์สหรัฐถูกฝังอยู่กลางสันทรายในแม่น้ำโคลัมเบีย หมายเลขของธนบัตรตรงกับหมายเลขของเงินที่โดนขโมยไปพอดิบพอดี แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครสามารถจับตัวดี บี คูเปอร์มาลงโทษได้อยู่ดี 


ขอบคุณภาพจาก telegraph.co.uk

จากเหตุการณ์นี้เองที่ทำให้สนามบินทั่วโลกมีการจัดระเบียบเกี่ยวกับความปลอดภัยเสียใหม่ และเริ่มมีการนำเครื่องเอ็กซเรย์ตรวจจับและค้นวัตถุต้องสงสัยมาใช้โดยทั่วกัน....



อันดับที่ 4
เคาท์ เซนต์ เกอร์แมน (Comte St Germain)


ขอบคุณภาพจาก trianglebook.weebly.com

ข้าราชสำนักผู้นี้มีความสามารถอันหลากหลายทั้งศาสตร์และศิลป์ในฝรั่งเศส เพราะเขาเป็นทั้งข้าราชการ นักวิทยาศาสตร์ นักประดิษฐ์ นักไวโอลิน และนักประพันธ์มือสมัครเล่น ในขณะเดียวก็ยังเป็นบุคคลลึกลับของโลกด้วย ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่รู้จักกันเป็นอย่างดีในนาม Der Wundermann หรือวันเดอร์แมน (มนุษย์ประหลาด) 


ขอบคุณภาพจาก overthinkingit.com

ราวกลางศตวรรษที่ 20 เขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นที่ไม่วางใจของบรรดาข้าราชการบริพารในสมัยนั้น เพราะเขาเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 เป็นอย่างมาก แต่ต่อมาเขาก็ถูกจับกุมในข้อหาทางการเมือง....


ขอบคุณภาพจาก tumblr.com

ความลึกลับของเขานั้นคือที่มาที่ไปของเขาเองที่ถูกปกปิด มีเพียงบันทึกเกี่ยวกับตัวเขาที่ถูกเขียนขึ้นในปีค.ศ. 1745 ที่สามารถนำมาใช้ยืนยันการมีอยู่ของเขาได้เท่านั้น ซึ่งเนื้อหาภายในนั้นกล่าวว่า เขาเข้ามาอาศัยอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศสประมาณ 2 ปี

ทั้งในระหว่างนั้นก็ไม่เคยเปิดเผยประวัติของตัวเองให้ใครทราบเลย รู้แค่เพียงว่าเป็นคนเก่งที่หาตัวจับได้ยากคนหนึ่ง และมั่นใจว่าเขาไม่ใช่ผู้ชายธรรมดาสามัญชนทั่วไปอย่างแน่นอน แต่อาจจะเป็นเชื้อพระวงศ์ หรือสายลับที่ถูกส่งตัวมายังฝรั่งเศสก็มิอาจล่วงรู้ที่มาที่ไปของคนผู้นี้ได้....ความลับของเขาก็ยังไม่มีใครไขได้จนถึงปัจจุบัน...






อับดับที่ 3
ชายในหน้ากากเหล็ก (Man in the Iron Mask)


ขอบคุณภาพจาก defrostingcoldcases.com

ชายผู้สวมหน้ากากเหล็กคนนี้เป็นนักโทษที่มีชีวิตอยู่ในช่วงของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ก่อนที่จะสิ้นใจในเดือนพฤศจิกายน ของปี ค.ศ. 1703 โดยไม่มีผู้ใดได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขามาก่อนเลย เพราะเขาซ่อนตัวตนภายใต้หน้ากากสีดำอันแสนมืดมิดมาโดยตลอด....


ขอบคุณภาพจาก ancient-origins.net

อย่างไรก็ดี แท้จริงแล้วเรื่องราวของชายผู้นี้เป็นตัวละครหนึ่งในนิยายที่มีเค้าโครงจากเรื่องจริงส่วนหนึ่ง ซึ่งในเนื้อหามีใจความเกี่ยวกับชีวิตของชายผู้หนึ่งที่ถูกจับกุมโดยข้ารับใช้ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 และถูกส่งตัวไปคุมขังเอาไว้ในคุกลับแห่งปิเนรอล เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใดเข้าถึงตัวได้ พร้อมกันนี้นักโทษคนดังกล่าวยังโดนห้ามมิให้พูดคุยกับผู้ใดนอกจากได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการแล้วเท่านั้น หากเขาฝ่าฝืนจะถูกฆ่าในทันที....


ขอบคุณภาพจาก ancient-origins.net

หลายคนสงสัยว่าชายผู้นี้เป็นใคร ทำไมถึงสำคัญขนาดนี้ มีข้อสันนิษฐานว่า รือเขาจะเป็นพี่น้องฝาแฝดของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 และสาเหตุที่จองจำก็เพื่อให้บัลลังค์ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 มีความมั่นคง บางคนก็ว่า เขาอาจจะเป็นบิดาของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซะเอง


ขอบคุณภาพจาก imgarcade.com

ซึ่งหลังจากที่เขาเสียชีวิตลงทางการก็จัดการทำลายข้าวของของเขาทุกชิ้น พร้อมกับฝังศพ และอย่างเงียบ ๆ และระบุชื่อบนป้ายหลุมศพว่า Eustache Dauger เท่านั้น โดยสุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครทราบที่มาที่ไปอย่างแท้จริงเสียที....


โปสเตอร์ภาพยนตร์ เรื่อง The Man in The Iron Mask
ภาพจาก listal.com

โดยเรื่องนี้เคยนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์หลายครั้ง ที่เราคุ้นกันดีก็เห็นจะเป็นเวอร์ชั่นที่มี พระเอกดัง ลีโอนาร์โด้ ดีคราปิโอ้ เป็นดารานำแสดง.... 






อันดับที่ 2
กิล เปเรซ (Gil Pérez)


ขอบคุณภาพจาก philurbanlegends.blogspot.com

เขาผู้นี้คือนายทหารสัญชาติสเปนซึ่งประจำการอยู่ที่พระราชวังเดลโกเบอนาดอร์ ในประเทศฟิลิปปินส์ แต่อยู่ๆ เขาก็ไปปรากฏตัวขึ้นในเมืองเม็กซิโกอย่างน่าฉงนเมื่อวันที่ 26 เดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 1593 โดยที่เจ้าตัวก็ไม่ทราบเช่นกันว่ามาอยู่ที่เมืองแห่งนี้ได้อย่างไร!!


เขารู้เพียงแค่ ผู้ว่าของเมืองที่เขาประจำการอยู่นั้นกำลังจะถูกลอบสังหาร ซึ่งอีก 2 เดือนต่อมาก็มีข่าวจากเรือฟิลิปปินส์ยืนยันว่าคำพูดที่ถูกนำมากล่าวอ้างนั้น เป็นเรื่องจริงทั้งหมด แต่ในขณะเดียวกันยังมีพยานที่พบเห็นเปเรซ ในวันที่ 23 ในเดือนและปีค.ศ. เดียวกัน ก่อนที่เขาจะปรากฏตัวในเมืองเม็กซิโกด้วย ซึ่งไม่มีทางที่เขาจะเดินทางไปยังเม็กซิโกที่มีระยะทางห่างไกลกว่า 15,000 กิโลเมตรได้รวดเร็วในสมัยนั้น....



ขอบคุณภาพจาก cogitz.wordpress.com 

สุดท้ายแล้วเขาก็ได้ก็เดินทางกลับไปยังประเทศฟิลิปปินส์อีกครั้ง และไม่มีผู้ใดได้พบเห็นเขาอีกเลยนับตั้งวันนั้น จึงทำให้เรื่องของเขากลายเป็นปริศนาที่ได้ไม่มีใครได้ล่วงรู้ว่าเขาเดินทางโดยวิธีใดจนกระทั่งถึงปัจจุบัน!!





และแล้ว




ก็มาถึง





อันดับที่ 1!!





อันดับที่ 1
เด็กตัวเขียวแห่งวูลพิต (Green Children of Woolpit)



ขอบคุณภาพจาก ancient-origins.net

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เคยเขย่าคนทั้งโลก โดยที่ในปัจจุบันนี้ก็ยังคงเป็นประเด็นถกเถียงกันเรื่อยมา...

โดยเรื่องราวนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณศตวรรษที่ 12 กลางหมู่บ้านวูลพิต ของเมืองซัฟฟอร์คในประเทศอังกฤษ ในบ่ายวันหนึ่งของเดือนสิงหาคม 1887 ได้มีเด็กพี่น้องชายหญิงคู่หนึ่งปรากฏตัวขึ้นอย่างลึกลับภายในถ้ำกลางใจเมืองวูลพิต เมื่อชาวบ้านมาพบเจอทั้งคู่แล้ว ทุกคนก็ต้องตกตะลึง เพราะว่าเนื้อตัวของพวกเขานั้นเป็นสีเขียวไม่เหมือนมนุษย์!!  และเครื่องแต่งกายของพวกเขาดูแปลกประหลาด และใช้ภาษาที่ไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อน เลยทำให้พี่น้องคู่นี้มีความพิเศษออกไป และได้รับความสนใจจากชาวเมืองเป็นอย่างมาก


ในช่วงแรกทั้งสองคนไม่ยอมรับประทานอะไรเลย นอกเสียจากถั่วเขียวสดที่ผู้คนนำมาให้ ไม่นานเด็กผู้ชายก็เสียชีวิตลงเนื่องจากร่างกายอ่อนแอ ส่วนเด็กผู้หญิงสามารถปรับตัวใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติและพูดภาษาอังกฤษได้พอประมาณจึงเล่าที่มาของตัวเองให้ฟังว่า พวกเขามาจาก "เซนต์มาติน" เมืองที่เต็มไปด้วยความมืดมิด จนกระทั่งวันหนึ่งทั้งสองคนได้ยินเสียงดังกึกก้องไปทั่ว จึงได้ออกเดินทางเพื่อตามหาเสียงนั้น ซึ่งกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองมาอยู่ในเมืองวูลพิตเสียแล้ว....

  
หลายฝ่ายพยายามที่จะอธิบายถึงความเป็นไปได้ว่า พวกเขามาจากไหน บางคนก็ว่า มาจากต่างมิติ มาจากโลกใต้พิภพ หรือแม้กระทั่งต่างดาวเอามาปล่อยตัวไว้ แต่ข้อสันนิษฐานที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือ พวกเขาน่าจะหลบหนีสงครามกลางเมืิองมาจากหมู่บ้านใกล้ๆ และสาเหตุที่ตัวสีเขียวก็น่าจะมาจากโรคชนิดหนึ่งเพียงเท่านั้น...


แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่มีใครให้คำตอบที่ชัดเจน ล่วงเลยมาจนถึงปัจจุบัน และ เรื่องราวของเด็กตัวเขียวแห่งวูลพิตก็ได้กลายเป็นตำนานเรื่องเล่าสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน และ เมืองวูลพิตก็ได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของอังกฤษ โดยใช้ตำนานของทั้งคู่เป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยว โดยที่พวกเราก็ยังคงไม่รู้ว่า ที่สุดแล้ว บุคคลทั้งสองนั้นเป็นใคร มาจากไหน และมาได้อย่างไร มันยังคงความลึกลับชวนให้เราค้นหา ตราบมาจนถึงทุกวันนี้....

จบแล้วจ้า...



ขอบคุณที่อ่านมาจนจบนะจ้ะ 
ยังไง โอกาสหน้าจะหาบทความดีๆ
ที่น่าสนใจมาฝากทุกๆท่านอีกนะครับ 
ขอบพระคุณที่ติดตามคร้าบบบ!! 




Bye bye , See U later. 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น