Light Yagami - Death Note

บันทึกลึกลับ!!.....ตอน : 10 อันดับของเหตุการณ์ลี้ลับแปลกประหลาดที่ยังไม่สามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์? ตอนที่ 2 ตอนจบ

มาต่อกันกับความลี้ลับของเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้และยังไม่สามารถหาคำอธิบายใดๆได้

(อ่านตอนที่ 1 ได้ ที่นี่)

ถ้าพร้อมกันแล้วก็....

ไปติดตามกันต่อได้เลยจ้า!!!


เริ่มกันที่!!


อันดับที่ 5 Disappearing Lake

น้ำในทะเลสาปหายไปอย่างลึกลับที่ ประเทศชิลี



นี่เป็นเหตุการณ์สุดลี้ลับที่เกิดขึ้นที่ประเทศ Chile ในเดือนพฤษภาคม ปี 2007 เกิดเหตุการณ์สุดแปลกประหลาด เมื่อน้ำในทะเลสาบขนาดใหญ่ใน Patagonia ได้อันตรธารหายอย่างไร้ร่องรอย ทิ้งไว้เพียงหลุมลึกขนาด 30 เมตร รวมทั้งซากน้ำแข็งและดินแห้งๆ....และมันจะไม่น่าแปลกใจเลย ถ้ามันเป็นเพียงแค่ทะเลสาปเล็กๆ แต่นี่มันเป็นทะเลสาปที่กว้างขนาด 5 ไมล์!!


แม้ว่าเหตุการณ์แปลกประหลาดนี้เกิดขึ้นมานานกว่า 7 ปี แต่ก็ยังไม่มีใครสามารถหาคำตอบได้ว่า น้ำพวกนั้นได้หายไปอย่างไร มีเพียงสมมุติฐานเดิมๆจากกลุ่มผู้ชื่นชอบ UFO ว่ามันน่าจะถูกยานต่างดาวลักลอบสูบหายไป....






ทะเลสาบนี้ตั้งอยู่ใน Patagonia ประเทศ Chile ครั้งสุดท้ายที่นักธรณีวิทยาเห็นมัน คือในช่วงเดือนมีนาคม ปี 2007 และก็ไม่มีพบอะไรที่ดูผิดปรกติ หรือพบว่ามันจะมีปรากฏแปลกที่เกี่ยวข้องกับทะเลสาบแห่งนี้เลย 




มันจะเป็นไปได้ไหมที่น้ำจะเหือดหายไปภายในเวลาเพียงแค่ 2 เดือน ซึ่งตามปรกติของวิธีการตามธรรมชาติ น้ำก็อาจจะแค่เหือดแห้งไปตามภูมิอากาศ แต่มันก็เป็นเพียงน้อยนิด มันไม่มีทางจะลดฮวบลงไปจนเหลือแค่ก้นทะเลสาปได้แบบนี้....


 



ครั้งแรกที่เกิดเรื่องนี้ขึ้นหลายคนคิดว่ามันเป็นเพียงแค่เรื่องกุ เรื่องหลอกลวง จนกระทั่งนักสำรวจได้เข้าไปสำรวจและถ่ายรูปทะเลสาบเอาไว้ ทุกคนก็ต้องตกตะลึง เมื่อภาพที่เห็นคือ ทะเลสาบที่เคยมีน้ำอยู่จนล้น กลับกลายเป็นเพียงหลุมแห้งๆขนาดใหญ่ ทิ้งไว้แค่เพียงก้อนน้ำแข็งและดินแห้งๆมีรอยแยกเกรอะกรัง... 



 
ขั้นแรกที่นักวิชาการคาดไว้ว่า มันน่าจะเหือดแห้งไปตามรอยแยกของแผ่นดิน แต่นั้น มันหมายความว่า ในขณะนั้นจะต้องเกิดแผ่นดินไหวตามมา แต่ทุกคนยืนยันว่า ในช่วง 2 เดือนที่เกิดเหตุการณ์นั้น ไม่มีรายงานเกี่ยวกับแผ่นดินไหวเกิดขึ้นในบริเวณนั้นเลย!!




ภาพวิวทิวทัศน์อันสวยงามของทะเลสาป ก่อนที่มันจะเป็นแค่อดีต

หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญทางด้านธารน้ำแข็ง Andres Rivera ได้อธิบายให้หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นว่า มันอาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันโดยธรรมชาติ ซึ่งก่อให้เกิดการปฏิรูปภูมิประเทศเอง จึงทำให้น้ำที่มีในทะเลสาปเหือดแห้งไปเองตามธรรมชาติ...แต่ก็นะ มันฟังดูไม่น่าเชื่อถือ สุดท้ายเมื่อไม่ได้รับการพิสูจณ์ ทฤษฐีนี้ก็ถือว่าเป็นอันตกไป....


สภาพหลังจากที่น้ำได้หายไปทั้งทะเลสาป!!

และในขณะนั้น หลายกลุ่มที่เชื่อถือเรื่องความลี้ลับอาถรรพ์ของภูติผีปีศาจโดยเฉพาะคนในท้องถิ่น ก็เชื่อได้ว่ามันอาจจะเป็นลางร้าย มาจากฝีมือของปิศาจ และในกลุ่มที่เชื่อเรื่องจานบิน มนุษย์ต่างดาว ก็กลับเชื่อว่า มันน่าจะเป็นฝีมือของพวกยานต่างดาวที่แอบมาสูบเอาน้ำไปเพื่อทำการทดลอง!!


จากวันนั้นจนถึงวันนี้เป็นเวลากว่า 7 ปี ก็ยังไม่มีใครสามารถอธิบายถึงเรื่องราวนี้ได้อย่างกระจ่างชัด มันจึงถูกยกให้เป็น 1 ในเรื่องราวลี้ลับที่ยังหาคำตอบไม่ได้ตราบจนถึงทุกวันนี้....




อันดับที่ 4 Raining Blobs

ฝนประหลาดตกลงมาเป็นน้ำมูกสุดสยอง ที่สหรัฐอเมริกา


ชาวเมือง Oakville ในรัฐ Washington ประเทศสหรัฐอเมริกา ต่างต้องตกอยู่ในความประหลาดใจ เมื่อวันหนึ่งเกิดฝนตกขึ้น แต่แทนที่ฝนจะตกลงมาตามปกติในรูปแบบที่เป็นน้ำฝนมันกลับเป็น เมือกเหนียวๆคล้ายๆเจลวุ้น ลักษณะเหมือนน้ำมูกจำนวนนับไม่ถ้วนตกลงมาจากท้องฟ้า!! 


เหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์นี้เกิดขึ้นในวันที่ 7 สิงหาคม 1994 ใน Oakville รัฐ Washington เวลาประมาณ 03:00 น. ฝนเริ่มตกปกคลุมทั่วทั้งพื้นที่ในระยะ 20 ตารางไมล์ แม้ว่าฝนจะเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนในพื้นที่ แต่ทว่าเมื่อมันตกลงมา มันกลับเป็นสารอย่างหนึ่ง ลักษณะเป็นเมือกเหนียวๆ ที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต!!  




เจ้าหน้าที่ David Lacey ซึ่งขณะนั้นเขากำลังขับรถลาดตระเวนกับเพื่อนๆตามปรกติ เมื่อฝนประหลาดตกลงมา เขาจึงเปิดที่ปัดน้ำฝน แต่แทนที่มันจะปัดออกเหมือนเช่นทุกครั้งมันกลับละเลงกระจกหน้ารถเขาซะจนมองไม่เห็นทาง เขาจึงตัดสินใจเลี้ยวเข้าไปในปั้มน้ำมันและพยายามทำความสะอาดมันด้วยตนเองหลังจากที่สวมถุงมือยางเพื่อความปลอดภัย เขาอธิบายถึงสิ่งที่เขาพบว่า มันเป็นสารที่ อ่อนมากลักษณะเหมือนก้อนเจลลี่ใสๆขนาดใหญ่....




เจ้าหน้าที่ Dotty Hearn บอกว่า หลังจากที่ฝนหยุดตก เธอได้ก้าวออกไปข้างนอก และสังเกตเห็นสารเมือกกระจายไปทั่วทุกที่ ในตอนแรกเธอเห็นเจ้าเหมือกนี้มีวัตถุคล้ายๆ เม็ดข้าวขนาดเท่าลูกเห็บอยู่ภายใน และเมื่อเธอสัมผัสกับมัน เธอสังเกตเห็นว่า พวกมันมีรูปร่างเหมือนน้ำมูกใสๆของมนุษย์....
 


โดยช่วงบ่ายวันนั้น ทั้ง David Lacey และประชาชนอื่น ๆ อีกมากมายได้เกิดอาการแปลกๆ หลังจากที่สัมผัสเจ้าเจลลี่ประหลาดเหล่านี้ โดยที่พวกเขารู้สึกหายใจลำบาก วิงเวียนศีรษะ ตาพร่ามัวและคลื่นไส้ 


  

Beverly Roberts ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงได้กล่าวว่า ทุกคนในเมืองมีอาการเจ็บป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่ที่กินเวลาสองถึงสามเดือน นอกจากนี้ทั้งแมวและสุนัขที่สัมผัสถูกเจ้าเหมือกประหลาดต่างก็ล้มป่วยและเสียชีวิต  




จึงมีการเก็บตัวอย่างเจ้าเมือกและส่งมันไปที่โรงพยาบาล ช่างเทคนิคในห้องปฏิบัติการตรวจสอบสารเคมีและพบว่ามันมีเซลล์เม็ดเลือดขาวของมนุษย์ แต่ไม่สามารถระบุว่ามันคืออะไรกันแน่... หลังจากนั้นตัวอย่างเมือกก็ถูกส่งไปที่กรมอนามัยแห่งสหรัฐอเมริกา...



 

เจ้าหน้าที่ Mike McDowell นักจุลชีววิทยาแห่งกรมอนามัยตั้งข้อสังเกตว่ามันเต็มไปด้วยเชื้อแบคทีเรียจำนวน 2 สายพันธุ์ รวมทั้งเชื้อที่อาศัยอยู่ในระบบย่อยอาหารของมนุษย์ จากผลการวิจัยของเขา จึงมีข้อสรุปแรกว่า มันน่าจะเป็นเป็นของเสียที่ตกลงมาจากเครื่องบินโดยสาร.... 





แต่กฎระเบียบของรัฐบาลกลางการบริหารการบินกำหนดไว้ว่า ก่อนจะทิ้งของเสียจากเครื่องบิน พวกเขาจะต้องย้อมสีฟ้าเสียก่อน ในขณะที่วุ้นเจลลี่ที่ตกลงมานั้น กลับมีรูปร่างที่ชัดเจนอย่างสมบูรณ์แบบ นอกจากนี้กฎระเบียบยังห้ามนักบินปล่อยของเสียในช่วงที่เกิดเหตุ จึงเป็นไปไม่ได้ว่า เจลลี่พวกนี้จะมาจากความผิดพลาดของนักบินในเวลานั้น...




หลังจากนั้นอีกประมาณ 1 ปี มีการวิเคราะห์ตัวอย่างที่ถูกเก็บแช่แข็งเอาไว้ โดย Tim Davis นักจุลชีววิทยาพบว่า มันเป็นสิ่งที่ประกอบไปด้วยเซลล์ที่มีความซับซ้อน และมีนิวเคลียสของสิ่งมีชีวิต นั่นหมายความว่าเจ้าเมือกนี้เคยเป็นสิ่งมีชีวิตก่อนที่มันจะตกลงมาเป็นฝนประหลาด!! 





ทฤษฎีหนึ่งที่ถูกกล่าวถึงคือการทำลายซากแมงกระพรุน และกำลังจะนำมันไปทิ้งทางเครื่องบิน แต่เกิดอุบิตเหตุจึงทำให้มันร่วงลงมา แต่ทฤษฐีนี้ก็ถูกตีตกไป เพราะถ้ามันเป็นซากแมงกระพรุนตายมันจะต้องเน่าเสียและมีกลิ่น แต่เจ้าเหมือกนี้มันกลับสดสะอาดมากกว่าที่จะเป็นซากสัตว์ตาย...


ทฤษฐีที่น่าเชื่อถืออีกอันหนึ่งคือ การทดลองอาวุธลับของทางรัฐบาล โดยชาวบ้านบางคนเชื่อว่า ทางกองทัพกำลังคิดค้นอาวุธชีวะเคมีชนิดใหม่ และนำมันมาทดสอบอย่างลับๆกับมนุษย์ แล้วกุข่าวลวงขึ้นมา แต่ทางกองทัพก็ออกมาปฐิเสธข่าวดังกล่าว ซึ่งนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แม้จะมีการทดสอบทางชีวะเคมีใดๆเพิ่มเติม ก็ยังไม่พบว่า ในปัจจุบันจะมีใครสามารถผลิตเจ้าสารเมือกแบบนั้นได้อีก ซึ่งถือได้ว่า ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่เราพบกับมัน (หลังๆมาจะกลายเป็นฝนกบ ฝนเลือดแทน) และมันก็ยังเป็นสิ่งเร้นลับที่ยังหาคำตอบไม่ได้ มาจนถึงปัจจุบัน!! 




อันดับที่ 3 The Black Helicopter

ปริศนาเฮลิคอปเตอร์สีดำอันน่าสะพรึงกลัว


เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม ปี 1994 เกิดเหตุการณ์อันน่าตื่นตะหนกกับเด็กชายวัยรุ่นคนหนึ่ง เมื่อมีเฮลิคอปเตอร์สีดำทะมึนดูน่ากลัว ได้บินไล่ตามเขาเป็นเวลากว่า 45 นาทีในเมือง Harrahan รัฐ Louisiana มันไม่มีเครื่องหมายที่บ่งบอกว่ามาจากที่ไหน จุดประสงค์คืออะไร และเป็นของหน่วยงานใด มันมีสีดำทะมึนดูน่าขนลุก ที่สำคัญชายชุดดำที่อยู่ภายในก็ชี้อาวุธมายังเขาตลอดเวลา เขาหวาดกลัวมาก และเมื่อหนีไปจนมุม มันก็เดินลงมาจากฮ.และตรงมาที่เขาและชี้ปืนข่มขู่ เขาหลับตาลงด้วยความกลัว แต่ไม่นานมันก็เดินจากไป และหายไปจากบริเวณนั้น ทิ้งไว้ซึ่งความกลัวและความแปลกใจของหนุ่มวัยรุ่น ว่าด้วยเหตุผลกลใด เขาจึงตกเป็นเป้าหมาย และมันทำแบบนี้เพื่ออะไรกันแน่!!.... 


สัปดาห์ต่อมากลุ่มคน​​ที่กำลังเดินทางโดยรถยนต์ ใกล้กับกรุง Washington ก็ได้ประสบเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัวคล้ายๆกัน เมื่อพวกเขาถูกไล่เฮลิคอปเตอร์ปริศนาสีดำไล่ตามไปเป็นระยะทางหลายไมล์ พวกเขาไม่สามารถที่จะช่วยเหลือตัวเองได้เลย 





ในขณะที่คนขับรถพยายามที่จะหนีออกมาจากถนน ทันใดนั้นพวกมันก็โรยบันไดเชือกลงมาและผู้ชายในเครื่องแบบสีดำพร้อมทั้งอาวุธหนักก็ปีนลงมายังรถพวกเขา โชคดีที่วันนั้นมีการจราจรที่ค่อนข้างเป็นอุปสรรค จึงทำให้พวกมันต้องล่าถอยไปในที่สุด....




จากนั้นในปี 1995 เจ้าเฮลิคอปเตอร์สีดำก็มาบินอยู่เหนือฟาร์มของสองสามีภรรยาคู่หนึ่ง ในรัฐ Nevada และพวกมันก็ทำการฉีดพ่นสารบางอย่างที่ไม่รู้จักลงมาในพื้นที่ 



วันถัดมาสัตว์ในบริเวณที่ถูกฉีดพ่นสารก็ล้มตาย และหลายเดือนต่อมาพืชโดยรอบก็ยังคงได้รับความเสียหายอย่างชัดเจน หน่วยงานรัฐต่างก็ปฏิเสธความเกี่ยวข้องใดๆกับเฮลิคอปเตอร์ลึกลับ และเจ้าเฮลิคอปเตอร์สีดำลึกลับก็ดูเหมือนจะลงมือกระทำอย่างต่อเนื่องในการเข้าจู่โจมเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายโดยที่พวกเขาไม่ได้กระทำความผิดใดๆ....



 


แต่ละครั้งที่พวกมันลงมือจู่โจม มันมักจะไม่เลือกเหยื่อและไร้ซึ่งความปราณีใดๆ เห็นได้จากการพกอาวุธที่ร้ายแรงและการไล่ล่าที่ดูเหมือนจะเด็ดขาด ใครจะรู้ว่าเฮลิคอปเตอร์อาจจะเชื่อมโยงกับชายลึกลับในชุดสีดำ Men in Black (ไม่ใช่ชื่อหนังนะครับ มันเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงๆ ไว้วันหลังจะนำมาเล่าให้อ่านกัน)







สำหรับคนที่มีความกล้าพอที่จะถ่ายภาพเฮลิคอปเตอร์ได้ พวกเขากลับถูกยึดอุปกรณ์และก็ถูกพวก MIB สั่งให้ออกจากพื้นที่ จากนั้นพวกเขาก็ได้รับการห้ามไม่ให้บอกใครว่าเกิดอะไรขึ้น แถมยังข่มขู่ว่า จะไม่รับประกันในชีวิตและทรัพย์สินของพวกเขาถ้าหากมีการแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป...







ไม่ว่าเจ้าเฮลิคอปเตอร์สีดำ มันจะเป็นภาระกิจลับใดๆของทางรัฐบาลหรือไม่ หรือมันอาจจะเกี่ยวข้องกับชายในชุดดำ หรืออาจจะเป็นการสมรู้ร่วมคิดกับพวกต่างดาว แต่เมื่อมันปรากฏตัวขึ้นมา มันก็มักจะมาพร้อมกับความอันตราย และไร้ซึ่งมนุษยธรรมใดๆ ไร้ซึ่งความมีประชาธิปไตยในพื้นฐานของประชาชนที่ถูกปกครองด้วยหลักของประชาธิปไตยในโลกนี้ และมันก็ยังคงเป็นเรื่องราวลี้ลับที่ยังคงมีการคุกคามให้เห็นกันอย่างต่อเนื่องตราบจนถึงปัจจุบัน!










อันดับที่ 2 Animals within Stone


ปริศนาลี้ลับของสัตว์ในวัตถุแข็ง มันเข้าไปได้อย่างไร?


มีหลักฐานการค้นพบมากมายที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ พบ กบ คางคก และสัตว์ขนาดเล็กอื่นๆ ที่พวกมันอาศัยอยู่ในวัตถุแข็งเช่นหิน หรือไม้ ที่น่าอัศจรรย์ใจคือ พวกมันเข้าไปได้อย่างไรโดยที่วัตถุนั้นๆไม่มีช่องหรือรอยแตกแยกใดๆอยู่เลย แต่ที่ยิ่งน่าฉงนคือ พวกมันยังมีชีวิต!!
ถ้านั่นยังไม่ดูน่าสนใจพอ มันอาจจะมีวิธีการทางธรรมชาติระหว่างพวกสัตว์กับต้นไม้ หรืออะไรก็ตามที่พวกมันจะสามารถทำได้ แต่ถ้าแม้กระทั่งสิ่งที่มนุษย์ทำขึ้นมาล่ะ!!



ในปี 1976 ที่รัฐ Texas คนงานก่อสร้างได้ทำการทำลายแท่งคอนกรีตของพวกเขาที่สร้างมานานกว่าปี และเมื่อทุบมันออก ทุกคนก็ต้องตกตะลึง เมื่อพวกเขาพบเต่าสีเขียวสดอาศัยอยู่ในคอนกรีต โดยมันมีช่องว่างในขนาดที่พอเหมาะกับตัวของมันพอดิบพอดี มันจะเป็นไปได้ไหมว่าในช่วงที่พวกเขาก่อสร้าง พวกเขาจะเททับพวกมัน แต่ทำไมมันยังมีชีวิตอยู่ได้มานานเป็นปีๆ และถ้าพวกมันพึ่งจะเข้าไปล่ะ พวกมันเข้าไปทางไหน เพราะคอนกรีตนี้ไม่มีรอยแตก หรือช่องว่างใดๆให้พวกมันเข้าไปได้เลย...


ยังมีกรณีที่น่าอัศจรรย์อีกหลายต่อหลายเหตุการณ์






ในปี 1761, Ambroise Pare แพทย์ประจำตัวของกษัตริย์ Henry ที่ 3 ของฝรั่งเศสได้ลงบันทึกประจำวันเอาไว้ครั้งหนึ่งว่า ในขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังเมือง Meudon และทำการรื้อทุบก้อนหินในเมือง พวกเขาก็พบ คางคกมากมาย อาศัยอยู่ในก้อนหินอย่างมีชีวิต...

 





ในปี 1865 หนังสือพิมพ์ประจำท้องถิ่นรายงานว่า รถขุดดินได้เข้าไปทำการขุดบล็อกหินปูนลึกลงไปประมาณ 25 ฟุตใต้ดินใกล้กับเมือง Hartlepool ประเทศอังกฤษ พวกเขาได้ค้นพบโพรงภายในหินที่มีคางคกอาศัยอยู่... 




และเมื่อหินแตกออก พวกมันต่างก็กระโดดโลดเต้นออกมาอย่างมีความสุข คางคกบางตัวยังอยู่ในความครอบครองของนาย S. Horner ประธานสมาคมประวัติศาสตร์ธรรมชาติและพวกมันยังคงมีชีวิต พวกเขาต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ครั้งแรกที่พบคางคก พวกมันดูสีซีดและสีคล้ายๆหิน แต่ไม่นานหลังจากที่ออกมาสู่โลกภายนอก พวกมันก็มีสีที่เข้มขึ้นจนกลายเป็นสีน้ำตาลมะกอก....


ในช่วงเวลาประมาณเดียวกัน มีการบันทึกบทความในหนังสือวิทยาศาสตร์ของอเมริกัน ถึงเหตุการณ์ที่คนงานเหมือง ที่ชื่อ Moses Gaines ได้ค้นพบคางคกอาศัยอยู่ภายในก้อนหิน บทความระบุว่า คางคกมีขนาดประมาณ 3 นิ้วและอวบอ้วนเต็มไปด้วยไขมัน ตาของมันดูมีขนาดใหญ่กว่าคางคกที่มีขนาดเดียวกับที่เราเห็นกันทุกวัน พวกเขาพยายามที่จะให้มันกระโดดหรือโดยการสัมผัสด้วยไม้ แต่มันกลับไม่สนใจใดๆ....แหม๋ะ ขี้เกียจจุง อิอิ... 




ในปี 1821 นิตยสาร Tilloch ได้เขียนว่า นาย David Virtue กำลังทุบหินที่อยู่ลึกลงไปประมาณ 22 ฟุตใต้ดิน เขาถึงต้องตกตะลึง เมื่อพบจิ้งจกที่ฝังอยู่ในหิน มันถูกม้วนตัวอยู่ในช่องที่พอดีกับตัวของมันเอง และมันมีสีเหลืองสีน้ำตาล ดวงตายังดูเป็นประกายสดใส ตอนแรกเขานึกว่ามันคงจะตายแล้ว แต่เมื่อสัมผัสถูกอากาศประมาณ 5 นาที มันก็รีบวิ่งออกไปจากจุดนั้นอย่างรวดเร็ว เล่นเอาเขาตกใจไปเลยทีเดียว....


ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารอังกฤษกำลังทำการระเบิดหินเพื่อทำถนน หลังจากที่ระเบิดหินขนาดใหญ่ได้ ทหารงัดแผ่นหินออกไป และพวกเขาก็ต้องตกใจเมื่อในหิน มีคางคกขนาดใหญ่และด้านข้างมันยังพบว่ามีจิ้งจกขนาดประมาณ 9 นิ้วอยู่ด้วย!! สัตว์เหล่านี้ยังมีชีวิตอยู่และสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจ ก็คือการที่ช่องที่พวกมันอาศัยอยู่ต้องขุดลึกลงไปถึง 20 ฟุต!! พวกมันเข้าไปได้อย่างไร!!!


เหล่านี้คือเหตุการณ์สำคัญต่างๆที่ถูกค้นพบว่า พวกสัตว์ได้เข้าไปอาศัยอยู่ในวัตถุต่างๆได้แถมยังมีชีวิต และถึงแม้พวกเราจะหาคำอธิบายที่สมเหตุสมผลใดๆมาอธิบาย มันก็ยังไม่เข้าที และยังคงเป็นปริศนาทางธรรมชาติที่มนุษย์เราต้องหาคำตอบกันต่อไป....


และแล้ว....

ก็มาถึงอันดับที่ 1 ของเรา!!


อันดับที่ 1 Donnie Decker

มนุษย์ฝนสุดลี้ลับ ไปที่ไหนที่นั่นจะมีฝนตามไปเสมอ...



เขาถูกขนานนามว่า "Rainboy" ในปี 1983 ชายที่ชื่อ Donnie Decker ซึ่งเป็นชาวซิลเวเนียที่ได้รับความสนใจจากนักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการ เป็นเพราะตัวเขานั้นถูกล้อมรอบไปด้วยปรากฏการณ์ที่น่าตกตะลึงและขนลุก....เพราะไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน มันจะเกิดปรากฏการณ์ฝนตกปรากฏอยู่รอบตัวเขา!!


Donnie Decker หรือ "Rainboy"

มันเริ่มต้นหลังจากการตายของคุณปู่ของเขาเมื่อเขาเป็นวัยรุ่นในเดือนกุมภาพันธ์ของปี 1983 วันนั้นเขาเดินทางไปยังบ้านเพื่อนของเขาคนหนึ่ง และในขณะที่เขาอยู่ในห้องน้ำนั่นเอง เขาก็ตะโกนขอความช่วยเหลือ โดยอ้างว่าเขากำลังถูกโจมตีโดยสิ่งที่เรียกว่าเป็นวิญญาณของปู่เขา ทุกคนต่างเห็นว่า ทั่วทั้งแขนของเขาเต็มไปด้วยรอยถูกของแหลมขีดข่วนเต็มไปหมด!!...


หลังจากนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงพาเขาออกมายังห้องนั่งเล่นและ ไม่นานก็เกิดเหตุการณ์อันน่าสะพรึง เมื่อมีฝนตกเกิดขึ้นภายในบ้าน!! ที่เพดานเต็มไปด้วยหยดน้ำและมีทะเลหมอกเต็มไปทั่วห้อง!! ไม่รอช้า พวกเขารีบนำตัวเขาออกมาจากห้องและพากันออกจากที่นั่นโดยเร็ว แต่เหตุการณ์ยังไม่สงบ เพราะตลอดการเดินทางนั้นกลับเกิดฝนตกตามพวกเขาไปอย่างไม่มีสาเหตุ....


ต่อมาไม่นานเขาได้ไปทานอาหารที่ร้านอาหารร่วมกับเพื่อนคนอื่นๆ แต่ในที่สุดก็ต้องวงแตก เมื่อปรากฏว่ามีฝนตกลงบนหัวของพวกเขา เจ้าของร้านอาหารจึงรีบไล่เขาออกไปจากร้านโดยทันที... เจอล่ะ ต้นฉบับ Ice Bucket ฮ่าๆๆๆๆ...



ปีต่อมาเนื่องจากความผิดทางอาญาลหุโทษเขาจึงถูกจำคุก แต่แล้วก็เกิดความวุ่นวายเมื่อฝนเริ่มเทลงในคุกที่เขาอาศัยอยู่ มันไม่มีทีท่าว่าจะทุเลาลง เกิดความวุ่นวายในคุกถึงกระทั่งต้องอัญเชิญบาทหลวงมาไล่ผี แต่ก็ไม่ประสปความสำเร็จ เล่นเอาผู้ต้องขังทุกคนโกรธเขาเป็นการใหญ่ เขาอธิบายว่าเขาสามารถทำให้ฝนตกได้เมื่อเขาต้องการและได้รับการพิสูจน์ และเขาก็ทำมันได้จริงๆ


ในที่สุดเขาก็ได้รับการปล่อยตัวจากคุก และหลังจากนั้นมีข่าวลือว่าเขาได้ไปทำงานเป็นพ่อครัวอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งไม่เป็นที่เปิดเผย....

และจากเหตุการณ์ต่างๆเหล่านั้น มันก็ยังไม่มีใครอธิบายได้ว่ามันคืออะไร และยังคงเป็นเหตุการณ์แปลกประหลาดลึกลับ ที่ยังเป็นปริศนามาจนถึงตราบเท่าปัจจุบันนี้!!



จบลงแล้วจ้า ขอบคุณที่ติดตามมาจนจบนะจ้ะ...

แปลผิด ตกหล่นยังไงขออภัยด้วยเน้อ...

ไว้เจอกันเรื่องหน้านะจ้ะ รับประกันว่าสนุกเหมือนเดิม...

เอ้ะ หรือมากกว่าเดิม...อิอิ...

สวัสดีจ้า....



Thank CR : listverse.com
Thank CR : wikipedia.org 


ร่วมแสดงความคิดเห็นและแบ่งปันความรู้ผ่านทาง Facebook กันได้ด้านล่างนี้จ้ะ...





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น